วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2558

นิทานธรรมดาโลก (๒๕)


๗๓ หนูกับช้าง

     ช้างพลายเชือกหนึ่ง  มันยืนงีบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในเวลากลางวัน  ขณะนั้นยังมีหนูตัวหนึ่ง ออกมาจากโพรงไม้ ครั้นเห็นช้างยืนอยู่ก็เข้าใจว่าเป็นต้นไม้ จีงได้ไต่ขาช้างขึ้นไปตามประสาซน  ช้างพลายลืมตาขึ้นเห็นหนูกำลังไต่ขาของมันจึงร้องถามว่า 
     "นี่สัตว์อะไร  ตัวเล็กจ้อยอย่างนี้ก็มีด้วยหรือ?"
     เจ้าหนูน้อยตกใจ  จึงลงจากขาช้างไปยืนจ้องมองดูอยู่ห่างๆ ร้องตอบว่า  
     "อ๋อ  นี่เราป่วยอยู่หรอกนะ  ร่างกายจึงผ่ายผอมไปหน่อย เมื่อยังดีๆอยู่  ร่างกายของเราใหญ่โตแข็งแรงกว่านี้มาก" 
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  สัตว์ทุกตัวนึกว่าตัวเองใหญ่ และสำคัญเสมอ 


๗๔. ปลาไหล

     ที่ริมสระใหญ่แห่งหนึ่ง  งูปลาตัวหนึ่ง  จ้องหาเหยื่อกินอยู่  คร้ันเห็นปลาตัวหนึ่งว่ายขึ้นมาริมผิวน้ำ 
     งูก็ฉกปลาเอาไว้เตรียมจะขยอกกินเป็นอาหาร  ขณะน้ันปลาไหลเผือกตัวหนึ่งว่ายน้ำมาพบเข้า จึงร้องห้ามว่า 
     "เจ้างูใจร้าย  เหตุไฉนเจ้าจึงงับหัวปลาไว้ดังนั้นเล่า  ปล่อยนะ ถ้าไม่ปล่อยปลา เจ้าจะมีอันตราย"
     เจ้างู หันมามองปลาไหลเผือกนิ่งอยู่  แล้วมันก็คายปลาออกจากปาก ถามปลาไหลเผือกว่า 
     "ใครจะมาทำอันตรายเราได้"
      "โน่น  ตะเข้ตัวใหญ่ลอยน้ำอยู่ฝั่งโน้น  กำลังว่ายน้ำมาที่นี่" เจ้าปลาไหลเผือกตอบ 
     "งั้นหรือ ถ้าเช่นน้้นเราไปละ" ว่าแล้วงูก็ว่ายน้ำไปทันที
     เมื่องูเลื้อยไปแล้ว  ปลาจึงพูดกับปลาไหลเผือกว่า 
     "ท่านใจบุญจริงๆ มาช่วยเราไว้ทัน  ไม่เช่นน้้นเราก็คงตาย"
     "อ๋อ  เรามันจำพวกปลาด้วยกันก็ต้องช่วยกัน"
    "นี่ ท่านก็เป็นปลาดอกหรือ  ทำไมรูปร่างเหมือนงู"
    "จะเป็นปลาหรืองู  มันอยู่ที่นิสัยใจคอ  มันไม่อยู่ที่รูปร่างภายนอกหรอก"ปลาไหลเผือกตอบ 
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า   พวกเดียวกันก็เห็นอกเห็นใจกันและช่วยเหลือกัน 

๗๕. ลิงขี้คุย

     ลิงตัวหนึ่ง  มันมีนิสัยชอบคุยโอ้อวดความใหญ่โตของมันเกินเพื่อน ลิงด้วยกันอยู่เสมอ  วันหนึ่งมันเห็นช้างเชือกหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มันจึงเหนี่ยวกิ่งไม้ลงนั่งอยู่บนหัวช้าง  ปากก็ตะโกนอวดเพื่อนลิงว่า 
     "พวกเอ็ง  เห็นหรือยังว่า ข้ามีอำนาจมากเพียงไร แม้แต่ช้าางตัวใหญ่ยังยอมให้ข้าขี่หลังบังคับบัญชาได้"
     ช้างเกิดความรู้สึกว่ามีสัตว์ตัวน้อยๆ มาอยู่บนหัวของมัน จึงเอางวงจับลิงไว้ได้  พอรู้ว่าเป็นลิงมันจึงจับหางลิงไว้  แล้วเหวี่ยงไปรอบๆ ลิงก็ขึ้นไปหมุนอยู่บนอากาศเหมือนลูกข่างที่ถูกหมุน  มันจึงส่งเสียงลั่นเพราะกลัวจะตกลงมาตาย
     เมื่อช้างจับลิงเหวี่ยงเสียจนพอใจแล้ว  มันจึงโยนลิงให้หลุดลงไปนอนจุกอยู่ที่พื้นดิน  พอมันหายเวียนหัว  หายจุกแล้ว  มันจึงขึ้นต้นไม้ไปพบเพื่อนลิงที่พากันจ้องมองดูด้วยความสนใจ 
     "ไหนเอ็งว่า เอ็งมีอำนาจสั่งช้างได้ยังไงล่ะ?"   เพื่อนลิงตัวหนึ่งถาม
     "อ้าว  ก็เอ็งเห็นไหมล่ะ  พอข้าบอกให้มันจับข้าเหวี่ยงหมุนไปในอากาศเล่นสนุกๆ มันก็ทำตามข้าสั่ง"  เจ้าลิงใหญ่คุย 
     "เอ็งรู้สึกกลัวไหมล่ะ  เจ้าถึงร้องเสียงหลงลั่นป่า ?"
    "เปล่าหรอก   ข้าตื่นเต้นจนลืมตัวเพราะตอนนั้นข้ามองเห็นป่าไม้มันหมุนไปรอบๆ  ตัวเข้าจนตาลายเลย"
     พวกลิงได้ฟังก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร 
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  คนขี้คุยโอ้อวดน้ัน ก็สามารถคุยอวดได้ทุกเรื่องไป 

วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2558

นิทานธรรมดาโลก (๒๔)


๗๐. นกกระจาบทำรัง

     นกกระจอกตัวหนึ่ง  มันบินไปเกาะกิ่งไม้ต้นหนึ่ง  พบสิ่งแปลกประหลาดไม่เคยเห็นมาก่อน  มันจึงจ้องดูด้วยความสนใจ สักครู่หนึ่งก็มีนกกระจาบตัวหนึ่งบินออกมาจากสิ่งนั้น นกกระจอกจึงถามว่า ท่านบินมาจากที่ไหน เมื่อกี้นี้เรามองไม่เห็นท่านเลย  นกกระจาบตอบว่าเราอยู่ในรังของเราที่สร้างแขวนไว้ที่กิ่งไม้น้ัน นกกระจอกก็เพ่งมองไปที่รังของนกกระจาบ ถามว่านี่รังของท่านหรือ  นกกระจาบตอบว่า  ใช่แล้ว  นกกระจอกถามว่า ท่านสร้างรังไว้ทำไมสวยงามวิจิตรพิสดารดังนี้  นกกระจาบตอบว่าเราสร้างไว้ให้นกตัวเมียออกไข่แล้วกกลูกอยู่ในรังนี้ด้วยความอบอุ่นและปลอดภัยไม่ถูกลม ไม่ถูกฝน ไม่ถูกแดด และไม่ถูกกาเหยี่ยวมาเฉี่ยวกิน  ท่านเล่าทำรังไว้อย่างไร นกกระจอกตอบว่า  เราไม่ต้องลำบากลำบนอะไร  เราดูตามบ้านเรือนของคนเห็นมีช่องมีรูที่ไหนเหมาะๆ  เราก็คาบเอาใบไม้ไปรองไว้ ให้ตัวเมียออกไข่ได้อย่างปลอดภัยเหมือนกัน  กาเหยี่ยวไม่กล้าเข้าไปรบกวนอะไร  เพราะกลัวคนเจ้าของบ้านหรือรังนอนของคน  ชีวิตเราก็ปลอดภัยไข่และลูกของเราก็ปลอดภัยดี 
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  สัตว์น้อยใหญ่ทุกชนิด  ย่อมมีปัญญารักษาตัวให้รอดปลอดภัยตามสมควรแก่อัตภาพ  จึงสืบพันธุ์อยู่ได้ในโลกอันมีศัตรูรอบตัวนี้ได้ตลอดมา

๗๑. แมงมุมชักใย

     แมงมุมตัวหนึ่งมันชักใยขวางไว้เป็นตาข่ายดักสัตว์ ขึงไว้ระหว่างช่องหน้าต่างบ้านแห่งหนึ่ง ชักใยไว้เสียดิบดีแล้วก็แอบไปจับสายใยซุ่มอยู่  พอสายใยสั่นยวบยาบมันก็รู้ว่ามีสัตว์น้อยมาติดตาข่ายแมงมุมเข้าแล้ว  มันก็วิ่งปราดไปตามสายใยนั้นทันที แลเห็นแมลงชีผ้าขาวติดอยู่จึงร้องขู่ว่า 
     "เฮ้ยเจ้าสัตว์น้อยหน้าโง่  เหตุไฉนเอ็งจึงบินล่วงล้ำอธิปไตย ผ่านด่านแดนอาณาเขตของเราเข้ามาโดยไม่กลัวเกรงอาญาแผ่นดินของเรา เอ็งมีความผิดถึงขัันประหารชีวิตรู้ไหม"
     "เจ้าจงมาให้เราฆ่ากินเนื้อเสียโดยดี"
     "เราบินมาตามทางของเรา ท่านต่างหากเล่าที่มาขึงใยขวางทางเดินของเรา" ชีผ้าขาวเถียง
     "เอ็งก็เห็นแล้วว่า  ข้าขึงเส้นเขตแดนของข้าไว้ เอ็งล่วงล้ำเขตแดนของข้าเข้ามาโดยไม่ขออนุญาต  เอ็งย่อมมีความผิดอย่างฉกรรจ์มหันตโทษ  มีความผิดต้องประหารชีวิตเสีย"
     "เหตุไฉนท่านจึงไม่บอกเตือนก่อนเล่า?"
     "ข้าไม่มีหน้าที่เที่ยวบอก เที่ยวเตือนใคร ขืนบอกขืนเตือนก่อน ก็ไม่มีใครเข้ามาติดตาข่ายของข้า"
    ยังไม่ทันที่ตัวแมลงชีผ้าขาวจะโต้ตอบประการใด  เจ้าแมงมุมก็เข้าตะครุบกัดคอแมลงชีผ้าขาวเคี้ยวกินเสียเป็นอาหารอันโอชาา
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  ผู้มีอำนาจพูดอะไรก็เป็นกฎหมาย ไม่มีผู้น้อยคนใดจะโต้เถึยงได้เลย

๗๒. ค้างคาวห้อยหัวนอน
     นกฮูกตัวหนึ่ง มันบินหลงทางเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่ง  ซึ่งมีค้างคาวจับชะง่อนหินในถ้ำนอนอยู่เป็นทิวแถว  มันเพ่งมองด้วยความแปลกประหลาดใจที่เห็นค้างคาวทุกตัวห้อยหัวนอน  เอาตีนเหนี่ยวเพดานถ้ำไว้  มันจึงกระซิบถามค้างคาวตัวหนึ่งว่า
     "เหตุไฉนท่านจึงห้อยหัวนอนเช่นนี้เล่า?"
    "ก็เพราะเรานอนอยู่ในที่สูง  เราจึงต้องมองดูว่าข้างล่างจะมีเภทภัยอันใดมากร้ำกรายทำอันตรายเรา เราจึงต้องห้อยหัวลงคอยมองดูภัยจากเบื้องล่าง"
     "ภัยจากเบื้องบนไม่มีเลยหรือ?"
     "ภัยจากเบื้องบนไม่มี  เพราะเป็นเพดานถ้ำ  ข้างบนปลอดภัยมีแต่ภัยจากเบื้องล่าง"
     นกฮูกได้ฟังก็นึกถึงตนเองที่จับคอนกิ่งไม้ซ่อนอยู่ตามพุ่มไม้  มีภัยจากเบื้องบน เบื้องล่าง หน้าหลังรอบทิศ  จึงต้องจับกิ่งไม้นอน เพื่อระวังภัยรอบทิศทาง
     วันหนึ่งนกฮูกเห็นโขลงช้างป่ายืนอยู่เป็นฝูงในเวลากลางคืน  มันจึงบินไปกระซิบถามช้างข้างๆ ใบหูช้างว่า 
     "พ่อช้างตัวใหญ่  เหตุไฉนท่านจึงไม่นอนหลับบ้างเล่า เห็นยืนอยู่ทั้งคืน"
     "เรายืนหลับ  เราไม่นอนหลับ  เป็นธรรมชาติของเราซึ่งเป็นสัตว์ใหญ่ ลุกขึ้นยืนได้ช้า  เมื่อมีภัยอันตรายมาสู่เรา เราจึงยืนหลับ  เราไม่ยอมนอนหลับเลยตลอดชีวิต"
     วันหนึ่งนกฮูกออกหากินกลางคืน  เข้าไปถึงคอกควายแห่งหนึ่ง  เห็นควายนอนอยู่ในคอกมันจึงเข้าไปถามว่า
     "ท่านนอนหลับตาอยู่เช่นนี้ ท่านไม่กลัวภัยอันตรายอะไรบ้างหรือ?"
     ควายตอบว่า 
     "เราจะต้องกลัวภัยอันตรายอะไรอีกเล่า  ก็เรานอนอยู่ในคอกล้อมทั้ง ๔ ทิศ ประตูคอกก็ปิดไว้แน่นหนา
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  สัตว์ทั้งปวงย่อมรู้ตัวว่ามีภัยอันตรายอย่างไร จะป้องกันภัยอย่างไรด้วย  อย่านึกว่าควายโง่กว่าสัตว์อื่น 

วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

นิทานธรรมดาโลก (๒๓)


๖๗.นกพิราบกับค้างคาว

     ค้างคาวตัวหนึ่งมันออกหากินตอนกลางคืน  คืนนั้นมันบินไปกินลูกหว้าที่หลังวัดแห่งหนึ่ง พบนกพิราบจับกิ่งไม้หว้าหลับตาอยู่ มันจึงร้องถามว่า 
     "นี่เจ้าเป็นใคร มาจากไหน?"
     นกพิราบลืมตาขึ้นร้องตอบว่า
     "เรานกพิราบไงล่ะ มาจากโบสถ์ในวัดโน่นแหละ"
     "แต่ก่อนนี้เราไม่เคยเห็นเจ้ามาอยู่ที่ต้นหว้านี้ ทำไมเจ้าไม่อยู่ที่โบสถ์นั้นต่อไป?"
     "โชคร้ายเต็ฺมที เดี๋ยวนี้เราประสบโชคร้าย"
     "ทำไมล่ะ โชคร้ายอย่างไร"
     "แต่ก่อนนี้เราอาศัยนอนอยู่ในโบสถ์ในเวลากลางคืน  เวลากลางวันก็ลงมาหากินในลานวัด มีคนใจบุญเอาข้าวเปลือก ถั่วแดง ถั่วเหลือง ข้างฟ่าง  มาเลี้ยงเราจนอิ่มทุกวัน สบายมาก"
     "แล้วเกิดอะไรขึ้นล่ะ"
    "ต่อมาเขาว่าเราไม่มีคุณประโยชน์   เอาแต่กินแล้วขี้เยี่ยวสกปรกโบสถ์เลอะเทอะศาลา  เขาก็ขับไล่เราไม่ให้อยู่ที่โบสถ์  แล้วก็ไม่มีคนเอาอาหารมาเลี้ยงดูเราเลย  เราจึงต้องมาอาศัยต้นหว้านี่อยู่  แล้วเที่ยวหาอาหารกินเอง  ฝึดเคืองมากแต่ก่อนโชคดี เดี๋ยวนี้โชคร้ายเต็มที"
     ค้างคาวฟังแล้วก็ร้องขึ้นว่า
     "ผิดกับเรา  เราโชคสถานปานกลางมาตลอดเวลา ไม่มีโชคดีไม่มีโชคร้าย เราอาศัยอยู่ในถ้าที่ภูเขาโน่น ในเวลากลางวัน ไม่มีใครรบกวนเราเลย กลางคืนเราก็ออกหากิน ผลไม้ในป่าไม่ต้องแก่งแย่งกับนกอื่นๆ  เรามีความเป็นอยู่สถานปานกลางอย่างนี้ เพราะเราพึ่งตัวเองหากินเอง  หาอยู่เอง ไม่ต้องอาศัยสัตว์อื่น"
     "ขี้เยี่ยวของท่าน ไม่มีสัตว์อื่นรังเกียจว่าสกปรกเลอะเทอะเลยหรือ?"
     "ขี้ของเราเห็นมีคนมาเก็บกวาดใส่กระสอบขนไปจากถ้ำคราวละหลายๆกระสอบนะ เราเข้าใจว่าขึ้ของเราก็มีค่า จึงมีคนต้องการมาขนไปใช้ประโยชน์"
     นกพิราบ ฉงนสนเท่ห์มาก เมื่อได้ยินค้างคาวว่าขึ้ของมันก็มีคนต้องการ จึงพูดว่า
     "แต่ขึ้ของเราเขาว่าสกปรกเลอะเทอะโบสถ์ศาลา"
     ค้างคาวพูดว่า
     "ท่านลองมานอนในถ้า  ขี้ในถ้า นอนที่นอนที่  ขี้ให้เป็นที่อย่างเราบ้างซิ  เราว่าคงมีคนต้องการเหมือนกันนะ ข้อสำคัญต้องเป็นขี้ที่ถ่ายจากท้องของเราที่หากินเอง ไม่ใช่ขอเขากินด้วยนะ"
     เจ้าค้างคาวพูดเป็นปริศนา เจ้านกพิราบได้แต่นิ่งฟังแล้วก็ไม่เข้าใจอะไร
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนแต่มีคุณประโยชน์แม้แต่ขึ้ ถ้ารู้จักขี้ให้เป็นที่เป็นทาง  และรู้จักใช้ขี้ของสัตว์น้ันให้ถูกต้อง ก็เอาเป็นปุ๋ยของพืชได้

๖๘  หมาเพื่อนแก้ว

     หญิงหม้ายคนหนึ่ง  อายุอยู่ในวัยชรา  มีจิตใจเมตตา รักสัตว์ แกเลี้ยงสุนัขและแมวไว้หลายตัว  เวลาเช้าแกชอบเดินแล่นออกกำลังกาย แกอุ้มแมวสีสวาทตัวโปรดไว้ตัวหนึ่ง   เดินไปตามถนนหน้าบ้าน มีสุนัขแสนรู้ตัวหนึ่งเดินตามหลังแกไปด้วย  เช้าวันนั้นเคราะห์ร้าย มีผู้ร้ายคนหนึ่งเดินสวนทางมา เห็นแกสวมสร้อยทองอยู่ที่คอ  จึงได้กระชากสร้อยคอ  หญิงชราดิ้นรนต่อสู้  ผู้ร้ายจึงตีด้วยไม้จนหญิงชราล้มลง  ผู้ร้ายก็กระชากสร้อยคอวิ่งหนีไป  ส่วนเจ้าแมวสีสวาทมันตกใจวิ่งหนีกลับไปบ้าน ไปนอนเลียขนอยู่ ไม่ได้เป็นห่วงหญิงชรานั้นแต่อย่างใดเลย  ส่วนสุนัขแสนรู้ได้วิ่งไล่กวดผู้ร้ายไป  ไล่กัดน่องผู้ร้ายได้ แล้วก็วิ่งกลับมาดูนายของมัน  เห็นนายของมันนอนเลือดไหลอยู่มีบาดแผล มันก็เลียแผลให้จนแห้งแล้วนั่งเฝ้านอนเฝ้าอยู่ไม่ห่าง  จนกระทั่งคนเดินมามันก็เห่าส่งเสียงให้รู้ว่านายของมันบาดเจ็บ  จนคนในบ้านมาพานายของมันส่งโรงพยาบาล  เมื่อนายของมันหายป่วยแล้วก็กลับบ้าน  ลูกหลานของนายมันก็พูดกันถืงเรื่องนี้วิพากษ์วิจารณ์กัน คนหนึ่งพูดว่า 
     "หมาน้ันมันเป็นเพื่อนแก้ว  แมวนั้นเป็นเพื่อนกอด ใครจะเลือกเพื่อนอยางไหน"
     คนหนึ่งพูดว่า "คนแก่ คนหนุ่ม คนสาว มันจะเลือกเพื่อนกอด เพราะมันอุ่นอกอุ่นใจ  แต่คนที่ฉลาดมันจะเลือกเอาเพื่อนแก้วเพราะเป็นเพื่อนทุกข์เพื่อนยากฝากผีฝากไข้ได้จริง"
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  เพื่อนแก้วจะเห็นได้ในยามทุกข์ยากเท่านั้น  ในเวลาปกติอยู่ดีมีสุข  ก็มีแต่เพื่อนกิน เพื่อนกอดเท่านั้น

๖๙.เพชรสีชมพู

     ยังมีเพชรเม็ดหนึ่ง  มันเป็นเพชรสีชมพูมีค่ามาก เพราะหายาก คนที่มีโชคได้ไว้เชยชมก็ล้วนแต่เป็นเจ้าหญิง  ท่านผู้หญิง สตรีชั้นสูงศักดิ์ที่ร่ำรวยทรัพย์มากนับล้านเท่าน้ัน
     เพชรสีชมพูเม็ดนี้  มันมีอายุจมอยู่ในดินก็หลายล้านปี  มันถูกขุดพบนำมาเจียรนัยเป็นเพชรน้ำงามประดับเรือนแหวนก็นับเป็นเวลาได้หลายร้อยปีแล้ว  มันจึงถูกซื้อขายเปลี่ยนเจ้าของมาจนนับไม่ถ้วน
     ครั้งสุดท้าย มันตกไปเป็นของท่านผู้หญิงผู้มียศศักดิ์อัครฐานคนหนึ่ง  ซึ่งเจ้าของชื่นชมหวงแหนมาก  มักจะสวมใส่ไว้ติดตัวอยู่เสมอ
     อยู่มาวันหนึ่ง มีผู้ร้ายเข้ามาทำร้ายท่านผู้หญิงนั้นถึงแก่รรม ผู้ร้ายก็เอาแหวนเพชรสีชมพูไปขายยังร้านทำเครื่องเพชรแห่งหนึ่ง
     ต่อมาโจรผู้ร้ายก็ถูกจับตัวได้  แล้วนำตำรวจมาที่ร้านค้าเพชรน้ัน ตำรวจจึงมาเอาเจ้าของร้านไปดำเนินคดีด้วย
      ตำรวจเจ้าของคดีน้ัน ครั้นเห็นเพชรสีชมพูเม็ดงามจึงเกิดความโลภอยากได้  จึงทำการยักยอกเอาเพชรสีชมพูนั้นไว้ เปลียนเอาเพชรของภรรยามาเป็นของกลางแทน  ภรรยาตำรวจผู้นั้นก็สวมเพชรเม็ดนั้น 
     ต่อมาตำรวจผู้นั้นกับภรรยาก็ถูกดำเนินคดีว่าทุจริตต่อหน้าที่ ฐานสับเปลี่ยนของกลางคือแหวนเพชรสีชมพูน้ัน  จนถูกออกจากราชการ และถูกจำคุกด้วย  
     แหวนเพชรสีชมพูนั้น ก็ถูกส่งคืนไปยังบุตรสาวของท่านผู้หญิงน้ัน ตกกลางคืนบุตรสาวของท่านผู้หญิงฝันว่าได้พบเจ้าหญิงองค์หนึ่งรูปร่างสวยงามเหมือนนางฟ้า  ผิวสีชมพูอร่ามไปทั้งองค์บอกว่าเธอชื่อเพชรสีชมพู  เคยได้อยู่กับสามีหลายร้อยพันปีแล้ว  อยู่กับใครคนน้ันก็โชคร้ายอายุสั้น  ไม่มีใครมีบุญได้ครอบครองเป็นเจ้าของเธอเลย แม่หนูเป็นคนดีอย่าได้หลงใหลตัวของเธอเลย  ถ้าขืนหลงใหลก็จะโชคร้าย  อายุสั้น  ว่าแล้วเท่าน้ันก็หายตัวไปกลายเป็นแหวนเพชรสีชมพูอยู่ที่นิ้วของคนฝันนั้น 
     เมื่อตื่่นขึ้นมาก็รู้สึกว่าแหวนเพชรนี้มีอาถรรพณ์ ไม่อยากไ้ด้ไว้เป็นสมบัติจึงจำหน่ายให้เจ้าหญิงองค์หนึ่งไป
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ของมีค่าย่อมอยู่กับคนมีศักดิ์เสมอกัน ถ้าอยู่กับคนต่ำศักดิ์จะทำให้เกิดความวิบัติแก่ผู้นั้นได้ แต่คนก็มันนึกว่าตนมีศักดิ์ มีบุญเพราะความโลภความหลงมัวเมาอยู่เสมอมา  

  
    

วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2558

นิทานธรรมดาโลก (๒๒)


๖๔. ต้นกล้วย  ขอนสัก และลำไม้ไผ่

     ในแม่น้ำแห่งหนึ่ง น้ำไหลเชี่ยวมากและแล้วน้ำอันไหลเชี่ยวนั้นได้พัดพาเอาต้นกล้วย  ขอนไม้สัก  และลำไม้ไผ่มาพบกัน   แล้วจึงไหลลอยตามน้ำไปด้วยกัน 
     ต้นกล้วยลอยไปลำไม้ไผ่จึงร้องถามว่า 
     "ท่านมาแต่ไหน?"
     ต้นไผ่ตอบว่า 
     "เรามาแต่ป่าไผ่ ถูกเขาตัดเอามาใช้ทำแพ"
     แล้วต้นไผ่ก็ถามกล้วยว่า 
     "ท่านมาแต่ไหนเล่า?"
     ต้นกล้วยตอบว่า 
     "เรามาแต่ป่ากล้วย  เราถูกตัดลำต้นของเราทิ้งลอยน้ำมา"
     แล้วลำไผ่ก็ลอยไปปะทะกับเจ้าขอนสัก  จึงร้องทักว่า 
     "ท่านมาแต่ไหน ลำต้นออกใหญ่โต"
     "เรามาแต่ป่าใหญ่  คนเขาตัดเรามาเลื่อยไปใช้ทำเสา  ทำกระดาน"
     ขณะนั้นพระแม่คงคานิ่งฟังต้นไม้ทั้งสามสนทนากันก็อุทานออกมาว่า 
     "ต้นกล้วยถูกฆ่าเพราะว่าผลของมันเอง  ต้นไผ่ถูกฆ่าเพราะว่าต้นของมันเอง  ต้นสักถูกฆ่าก็เพราะคุณค่าของเนื้อไม้สักเอง"
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า   ต้นไม้ในป่าจะอาสัญเพราะลูกผลของมันและลำต้นของมันเอง  เหมือนคนจะอาสัญก็เพราะความดีและความชั่วของตัว พอๆกัน บางทีก็อาสัญเพราะลูกของตัวเอง 

    ๖๕. นกเอี้ยงเลี้ยงควายเฒ่า

     นกเอี้ยงตัวหนึ่งขนสีดำปากเหลือง  หวีผลแปล้บินมาเกาะหลังควายแก่ตัวหนึ่ง  ควายแก่เที่ยวเดินและเล็มหญ้าอยู่ตามทุ่งนา  นกเอี้ยงก็เกาะหลังควายตัวนั้นไปเรื่อยๆ   เด็กเลี้ยงความสองสามคนเห็นนกเอี้ยงเกาะหลังควายก็เข้าใจว่านกเอี้ยงมาเลี้ยงดูควาย  ควายได้กินหญ้ากินข้าวอิ่ม  แต่นกเอี้ยงอดอาหารจนหัวโต  จึงร้องเพลงว่า 
     "นกเอี้ยงมาเลี้ยงความเฒ๋า  ควายกินข้าว นกเอี้ยงหัวโต" 
     นกเอี้ยงเอียงคอฟังเพลงของเด็กเลี้ยงควายแล้วก็หัวเราะพูดขึ้นว่า 
     "เด็กเลี้ยงความเสียเปล่าไม่เข้าใจอะไรเลย   เราจับอยู่บนหลังควายเป็นที่หาอาหาร  เวลามีเหลือบมาเกาะกินหลังควาย  เราก็ได้จิกกินตัวเหลือบ ควายก็พอใจ ไม่ถูกเหลือบกินเลือด  แมลงวัน  ยุง เหลือบบนหลังควายเป็นอาหารของเราได้กินทุกวัน"
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า   อย่านึกว่าคนตัวโตๆ หัวโตๆ  จะฉลาดกว่าสัตว์เช่นนกเอื้ยงตัวน้อยๆ   ที่จริงมันฉลาดและขยันหากินยิ่งกว่าคนเสียอีก 

๖๖. แมลงวันหัวเขียว

     แมลงวันหัวเขียวตัวหนึ่ง  ตัวมันโต หัวของมันมีสีเขียวสดใสสวยงาม   มันเที่ยวบินหากินตัวเดียวโดยอิสระเสรี  เมื่อมันได้กลิ่นขนมมันก็บินมาเกาะ  ใช้จงอยปากดูดกินอย่างเอร็ดอร่อย   เมื่อมันพบสัตว์ตายเน่าอยู่  หรือมูลสัตว์กองอยู่  มันก็บินเกาะใช้จงอยปากดูดกินอย่างเอร็ดอร่อยเหมือนกัน 
     วันหนึ่งมันบินไปพบเหลือบตัวหนึ่งกำลังเกาะหลังวัวตัวหนึ่งเพื่อจะดูดกินเลือดของวัว  ส่วนแมลงวันหัวเขียวก็บินไปเกาะหลังวัวเพื่อจะดูดกินน้ำหนองจากแผลเป็นหลังวัวนั้นเหมือนกัน
     เมื่อแมลงวันหัวเขียวเห็นเจ้าเหลือบบินมาเกาะหลัง  เหลือบจึงร้องถามว่า  " เจ้ามากินอะไรบนหลังวัว"
     เหลือบหันมามองแมลงวันหัวเขียว เพ่งมองอยู่ที่หัวเขียวของมันสักครู่แล้วตอบว่า  "เรามาหากินเลือดของวัวน่ะซิ   อาหารของเราคือเลือดสีแดงๆ ของสัตว์ ท่านเล่ากินเลือดเหมือนกันหรือ?"
     "เปล่าหรอก อาหารของเราไม่ใช่เลือดสัตว์  แต่เป็นอาหารใหม่และอาหารเก่าสองอย่างเท่านี้" 
     "อาหารใหม่ของท่านคืออะไร ?"
     "อาหารใหม่คือขนมและน้ำตาลเป็นอาหารสดๆ ใหม่ ๆ ดื่มแล้วชื่นใจมีกำลังวังชาดีนัก"
     "อาหารเก่าเล่ามีอยู่ที่ไหน ?"
     "อาหารเก่าได้แก่มูลสัตว์ที่ถ่ายกองไว้  มันย่อมมีโอชะดื่มกินแก้หิวกระหายได้  อีกอย่างคือน้ำหนองจากแผลของสัตว์  เช่นแผลบนหลังวัวนี่ไงล่ะ  ดื่มกินแล้วก็มีโอชะของอาหารบำรุงร่างกายเหมือนกัน  เพราะมันย่อมประกอบด้วยดินและน้ำเหมือนกัน  มันมีน้ำมันและน้ำตาลเหมือนกัน  แม้เลือดที่ออกจากร่างกายสัตว์ก็เหมือนกัน  แต่เราไม่พอใจที่จะดื่มเลือดสดๆ  จากร่างกายของสัตว์ เพราะปากเราไม่มีเหล็กแหลมแทงเนื้อสัตว์  เราชอบดื่มจากแผลที่เจ้าของเปิดไว้ไม่หวงแหน"
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  แม้แมลงวันหัวเขียวที่คนเราว่าเป็นสัตว์สกปรก  แต่แท้ที่จริงมันเป็นสัตว์สะอาดและฉลาด มีเหตุผลของมันเองเหมือนกัน 

     

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2558

นิทานธรรมดาโลก (๒๑)



๖๑. ไข่เองกะเติ๊กเอง

      ไก่ตัวเมียตัวหนึ่งเจ้าของเลี้ยงไว้กับเป็ดตัวเมียตัวหนึ่ง  จนเติบโตเป็นสาวทั้งคู่  ครั้นถึงเวลาออกไข่แม่ไก่ก็ขึ้นไปออกไข่อยู่บนรังไก่ที่เจ้าของทำไว้  พอไก่ไข่ออกมาแล้วมันก็ลุกขึ้นร้องออกมาว่า
     "กระต๊าก ออกแล้ว  ออกแล้ว  ออกแล้ว"  ส่งเสียงดังลั่นไปทั้งบ้าน แล้วจึงกระโดดลงมาหากินต่อไป
     เมื่อแม่เป็ดพบหน้าแม่ไก่จึงร้องถามว่า 
     "เจ้าส่งเสียงร้องทำไมว่าออกแล้ว ออกแล้ว"
     "ดีใจ"
     "ดีใจทำไม  ดีใจทำไมกับการออกไข่"  แม่เป็ดถาม
      "ดีใจว่าในไม่ช้าเรากกไข่ไม่กี่วันลูกเจี๊ยบก็จะออกมา เราจะได้เป้นแม่ไก่เจี๊ยบน้อยๆ ของเรา เราจะได้พาลูกเจี๊ยบของเราไปคุ้ยเขี่ยหากินแล้วกกเขาให้อบอุ่น  เราก็อบอุ่นด้วย"
     "อ๋อ  ดีใจที่จะได้มีลูกได้กกลูก ได้เลี้ยงลูกใช่ไหม"
     "ใช่แล้ว  เป็นธรรมดาของแม่  ย่อมดีใจที่มีลูก  ได้เห็นหน้าลูก  จึงมีความสุขอย่างแปลกประหลาดที่สุด  ที่มีลูกเป็นของเรา  เราได้เลี้ยงดูเขาเราได้มีเพื่อนชีวิต"
     แม่เป็ดยืนฟังอยู่เงียบๆ 
    "ท่านล่ะ  เวลาไข่ออกมาก็เงียบๆ  ไม่ดีใจมั่งเลย ไม่ตื่นเต้นบ้างเลยหรือ ไม่เห็นส่งเสียงร้องเพลงแสดงความดีใจเลย"
    "เราไม่ตื่นเต้นยินดีอะไร  เราไข่ออกมาแล้วเราก็ไม่ได้กกไข่  เราไม่ได้เลี้้ยงลูกเป็ด  เจ้าของบ้านเขามาเก็บไข่เราไปจนไม่เหลือเลย  เราไม่เคยเห็นหน้าลูกเป็ดเล็กๆ ของเราเลย  เราชินชาเสียแล้ว เราไม่รู้สึกอะไร เราจะตื่นเต้นยินดีเพื่ออะไรกันเล่า"
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  เพราะแม่พ่อได้เลี้ยงลูก  จึงรักลูก แม่จึงดีใจเมื่อลูกเกิดมา  พ่อก็ดีใจที่เห็นหน้าลูกน้อยๆ ทั้งแม่และพ่อย่อมรักลูกเพราะได้เลี้ยงดูอุ้มชูกันมาแต่ตีนเท่าฝาหอย   ลูกจึงเท่ากับเป็นทรัพย์  ธรรมชาติของแม่และพ่อที่ได้สร้างขึ้นมาและทนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมา  พ่อแม่ที่ไม่เคยมีลูกไม่เคยเลี้ยงลูกก็คงไม่รักลูก เปรียบเหมือนเป็ดต่างกับไก่ฉนั้น 

๖๒. นกต้อยดีวิด

     นกต้อยดีวิดตัวหนึ่ง  เมื่อถึงฤดูออกไข่มันก็บบินไปตามพงหญ้ารกที่อยู่ตามท้องนาในที่โล่งๆ  และที่เปลี่ยวห่างไกลจากคนและสัตว์ที่จะมาทำอันตรายไข่ของมัน  มันไข่ซ่อนไว้ในพงหญ้า คาบเอาหญ้าแห้งหญ้าสดมาปกปิดไข่ไว้อย่างมิดชิด   แล้วออกมาหากินแล้วก็บินมากกไข่ของมัน ฟักออกมาเป็นลูกนกต้อยตีวิดตัวน้อยๆ  แต่มันสอนให้ลูกของมันรู้จักที่ซุกซ่อนอยู่ในกอหญ้า  นอนนิ่งๆ ไมไหวติงเมื่อคนหรือสัตว์เดินมาใกล้ 
     ครั้นมันเห็นคนหรือสุัตว์จำพวกเหยี่ยวกา  เดินหรือบินเข้ามาใกล้ แม่นกต้อยตีวิดจะรีบวิ่งออกไปอีกทางหนึ่ง จนห่างไข่ห่างลูกของมันแล้วก็ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า 
     "ช่วยชีวิต ช่วยชีวิต"
     คนหรือสัตว์ก็จะหันไปมองหรือเข้ามาใกล้ตัวมัน  มันก็จะทำวิ่งหนีไปอีก บางทีก็ทำเหมือนปีกหัก บางทีก็ทำเหมือนขาหัก  เพื่อจะหลอกล่อให้คนหรือสัตว์เดินตามมันไปจนไกลไข่หรือลูกของมัน ครั้นคนหรือสัตว์เข้ามาใกล้ตัวมัน มันก็จะรีบบินหนีไปโดยเร็ว
     เจ้านกฮูก แอบดูอยู่เสมอ วันหนึ่งเจอหน้านกต้อยตีวิด จึงถามว่า
     "เราเห็นท่านร้องช่วยชีวิต ช่วยชีวิตอยู่บ่อยๆ  แต่ทำไมเจ้ามีปีกบินหนีได้โดยเร็ว  จึงไม่เห็นบินหนีกลับวิ่งหนี  เดินหนีไปเสียโดยเร็วเล่า?"
     "เราห่วงไข่ ห่วงลูกของเรา"
     "ท่านไม่กลัวตายหรือ?"
     "เรากลัวตายเหมือนกัน  แต่เรากลัวไข่กลัวลูกของเราจะได้รับอันตรายยิ่งกว่า"
     "ท่านรีบหนีไป ปากก็ร้องว่าช่วยชีวิต ช่วยชีวิต ดังลั่นจะเรียกว่าท่านห่วงลูกรักลูกยิ่งกว่าตัวเองได้อย่างไร  เรามองไม่เห็นเลยว่าท่านรักลูกห่วงลูกท่านจริงเหมือนปากว่า"
    "ก็เพราะว่า ถ้าเรารักตัวกลัวตายมากกวา่ เราก็จะบินหนึไปโดยเร็วเท่านั้นก็ปลอดภัยแล้ว  แตเราเป็นห่วงลูกของเรามากกว่า  จึงแกล้งเดินหนีไปปากก็ร้องไปเพื่อให้เขาตามเราไปจนห่างลูกของเราไงล่ะ"
     "ท่านทำเป็นปีกหักขาหักเพื่ออะไร"
     "เพื่อหลอกลวงให้เขาคิดว่าเราหนีไม่พ้นเขาแน่แล้ว  เขาจะได้รีบตามมาจับตัวเรา  เราก็วิ่งหนีไปให้ห่างลูกของเราได้  พอเขาเข้ามาใกล้ตัวเราจริงๆ  เราก็บินหนึไปโดยเร็ว  ลูกของเราก็ปลอดภัยตัวเราก็ปลอดภัย  
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า   เพราะความรักลูกจึงทำให้ลูกปลอดภัย และตัวเองปลอดภัยด้วย นกต้อยตีวิดจึงหลอกคนให้หลงตามมันไปจนห่างลูกของมัน ตามปัญญาของนก 

๖๓. ทุเรียนกับมะม่วง

     ลูกทุเรียนกับผลมะม่วงถูกแม่ค้านำไปวางขายไว้เคียงกันที่ตลาดขายผลไม้แห่งหนึ่ง  เมื่อทุเรียนกับมะม่วงอยู่ใกล้ชิดกัน  มันจึงทักทายทำความรู้จักกัน  แล้วคุยกันแก้รำคาญที่ต้องอยู่เฉยๆ 
     มะม่วงสาวผิวผ่องใส  มองเห็นผิวทุเรียนขรุขระ น่าเกลียดน่าชังเหมือนยายแก่จีงร้องถามว่า 
     "นี่ยายมาจากไหนนี่ละจ๊ะ?"
     "มาจากเมืองนนท์"
     "ยายชื่ออะไรล่ะยายจ๋า?"
     "ชื่อน่ะหรือเขาเรียกฉันว่าทุเรียนจ๊ะ"
    "แปลว่าอะไรละยาย  ชื่อนี้มีความหมายว่ายังไงจ๊ะยาย"
     "แปลว่า รูปชั่ว ทุแปลว่าชั่ว  เรียนแปลว่ารูปร่าง  แบบอย่าง  รวมความว่ารูปร่างขี้ริ้วขี้เหร่  รูปชั่วตัวดำน่ะแหละจ๊ะ"  ทุเรียนตอบอย่างใจดี  แล้วก็ถามมะม่วงว่า
     "แม่หนูล่ะ  มาจากไหน?"
     "มาจากเมืองเพชรจ๊ะยาย  หนูอยู่เมืองเพชร"
     "ชื่ออะไรล่ะ"
     "ชื่อมะม่วงจ๊ะยาย"
     "แปลว่าอะไรจ๊ะ"
     "แปลว่าสวยงามเหมือนผ้าม่วงที่คนนุ่งห่มน่ะแหละ เขาเรียกชื่อตามผิวพรรณของหนูจ๊ะ"
     "เนื้อหนังของแม่หนูคงดีนะจ๊ะ?"
     "หวานอร่อยเชียวแหละยาย  เขาจึงเอาหนูมาขายอยู่นี่ไงล่ะยาย"
     "เขาตีราคาหนูเท่าไรล่ะ?"
     "เขาตีราคาหนูลูกละ ๒ บาท  ถึง  ๕ บาท แล้วแต่คนซื้อ"
     "แหม รูปร่างหน้าตาดี  แต่ราคายังน้อยนะ"
     "เอ๊ะ  หนูว่าหนูมีราคาสูงมากนะยาย  แล้วยายล่ะเขาขายยายเท่าไรล่ะ"
     "ไม่แน่หรอก บางทีก็ ๕๐ บาท บางทีก็ ๑๐๐ บาท  สุดแล้วแต่กาละและบุคคลซื้อ"
     "แหม ยายนี่รูปชั่วตัวดำ แต่ราคาดี มีค่ามากจัง"
     "มันก็อยู่ที่คุณค่า  มันอยู่ที่รสชาติ  มันอยู่ที่คนเขาต้องการหรอกจ๊ะ"
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  สิ่งใดจะมีค่าก็อยู่ที่คุณค่าของสิ่งน้ัน และอยู่ที่คนเขาตีราคาให้  เพราะเขาต้องการมากเขาอยากได้ เขาก็ให้ราคาสูง  มีค่ามาก  สมคำที่ท่านกล่าวว่า  ค่าของคนอยู่ที่ผลงาน   ค่าของสสารอยู่ที่คุณค่า 

วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2558

นิทานธรรมดาโลก (๒๐)


๕๘. กบเกิดในสระจ้อย

     กบตัวหนึ่งมันเกิดและเติบโตในสระอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง  มันแหวกว่ายหากินอยู่ในสระแห่งนั้นจนเป็นหนุ่ม   เวลาฝนตกมันก็ส่งเสียงร้องเรียกหาคู่  คร้ันมันได้ยินเสียงกบสาวมันก็แหวกว่ายน้ำไปหายังฝั่งตรงข้าม  มันรู้สึกว่าสระน้ำนั้นช่างกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก   กว่าจะว่ายน้ำข้ามไปพบกบสาวได้ก็แสนไกลแสนเหนื่อย  มันพบว่าสระแห่งนี้มีปลานานาชนิดทั้งปลาน้อยใหญ่ มีเพื่อนกบ คางคก เขียด มากมาย  มันมิได้อยู่ตัวเดียวเท่านั้น  มีเพื่อนสัตว์มากมายจนไม่รู้ว่าเป็นสัตว์อะไรบ้าง 
     วันหนึ่งฝนตกใหญ่มีพายุแรงมาก  น้ำท่วมท้นไปทั่ว  จนไม่รู้ว่าฝั่งสระอยู่ทีไหน  ต้นไม้ใบหญ้าก็ถูกพายุพัดพาไป สัตว์ทุกตัวก็ถูกพายุพัดสู่แม่น้ำอีกแห่งหนึ่ง  ครั้นฝนซาเม็ดลงแล้วมันก็รู้สึกว่ามันมาอยู่ในสายน้ำแห่งใหม่ ยังได้พบสัตว์แปลกหน้าตัวหนึ่งแหวกว่ายมาใกล้ๆมัน มันจึงร้องถามว่า 
      "ท่านชื่ออะไร อยูที่ไหน?"
      "เราชื่อเต่า  อยู่ในแม่น้ำแห่งนี้"
      "แม่น้ำหรือ กว้างใหญ่มากไหม"
      "โอ กว้างใหญ่แล้วยาวไม่รู้เท่าไร  เราอยู่มาจนตลอดชีวิตตั้งแต่ต้นน้ำ นี่แก่อายุเกือบร้อยปีแล้ว  ยังไม่ออกปากน้ำเลย"
     กบได้ฟังดังนั้นมันก็รู้สึกตัวว่าสระน้ำที่มันอาศัยนัน เคยคิดว่ากว้างใหญ่ไพศาลนักหนา  แต่ก็กว้างใหญ่ไม่ถึงหนึ่งในร้อยของแม่น้ำสายนี้  มันรู้สึกว่าตัวของมันเล็กกะจ้อยร่อยลงไปทันที
      นืทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  บางทีเรานึกว่าเรารู้อะไรมากมาย เพราะเราไม่รู้ไม่ได้พบเห็นอะไรที่มากกว่า 

๕๙.ทัพพีตักแกง


     ทัพพีอันหนึ่ง ที่แม่ครัวในครัวเรือนแห่งหนึ่งใช้ตักแกงมาช้านาน  แม่ครัวรุ่นแม่ตายไปแม่ครัวรุ่นลูกก็ใช้ต่อมา  แม่ครัวรุ่นลูกตายไปแม่ครัวรุ่นหลานก็ใช้มันต่อมา   นับเป็นเวลาช้านานถึงสามชั่วคนแล้ว  มันจึงเป็นทัพพีที่มีอายุมากเต็มที  แต่มันเป็นทัพพีที่แข็งแรงดีจึงยังไม่ชำรุดบุบสลายไป
     วันหนึ่งแม่ครัวเกิดอารมณ์โกรธลูกสาวของตัว  จึงตำหนิติโทษด่าว่าต่างๆ นานา  ลงท้ายก็พูดว่า "เอ็งน่ะโง่นักไม่รู้จักจดจำคำสั่งสอนของแม่ สอนเท่าไรก็ไม่จำทำตัวเหมือนทัพพีตักแกงอันนี้  ตักแกงมาไม่รู้กี่สิบปี  ก็ไม่รู้รสแกง"
     ลูกสาวได้ฟังก็เถียงแม่ว่า 
      "แม่เอาอะไรมาพูดไม่รู้  ก็ทัพพีมันมีลิ้นที่ไหนล่ะ  มันจะรู้รสแกงได้ยังไงล่ะ?"
     ครั้นแม่ได้ฟังลูกสาวเถียงดังน้ันจีงร้องถามว่า 
     "แล้วเจ้าล่ะ  มีหู มีตา มีจมูก มีลิ้น มีปากเหมือนแม่ทุกอย่างทำไมแม่สอนให้ทำแกงเจ้าจึงไม่รู้จักทำ ?"
     "แม่รู้หรือเปล่าว่าหน้าที่กับความจำเป็นมันทำให้คนต้องทำ  เมื่อต้องทำอะไรก็ต้องเรียนรู้ต้องจดจำ  ก็หนูไม่มีหน้าที่ทำครัวไม่มีความจำเป็นหนูจึงไม่สนใจจดจำ"
     ทัพพีได้ฟังคำโต้ตอบของแม่ลูกคู่นี้ก็นึกอยู่ในใจว่า เราก็มีหน้าที่เราก็มีความจำเป็นต้องตักแกงทุกวัน แต่เราก็ทำแกงเองไม่เป็นเหมือนกัน   เพราะเรามีหน้าที่และความจำเป็นต้องตักแกงจากหม้อเท่านั้น  เราไม่มีหน้าที่ทำแกงเลยเหมือนกัน
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  ใครมีหน้าที่อย่างไรก็ทำตามหน้าที่นั้น รู้ชำนาญแต่หน้าที่น้ันสิ่งอื่นไม่รู้เหมือนกัน  ไม่ว่าใคร เพราะฉนั้นอย่าไปว่าใครโง่เขลากว่าเราเลย 

๖๐. มดคาบไข่

     บ่ายวันหนึ่งเจ้าคางคกตัวหนึ่ง มันกระโดดหากินอยู่ริมรั้ว  มันพบมดฝูงหนึ่งกำลังเดินแถวมามากมายหลายร้อยหลายพันตัว ปากของมันก็คาบไข่มาด้วย  มันพากันเดินมุ่งหน้าไปยังโพรงไม้บนเนินดินที่เป็นโขดสูงอยู่ริมรั้ว  เมื่อมดหัวหน้าเดินไป มันก็พากันคาบไข่เดินตามกันไปเป็นขบวนยาวเหยียด เจ้าคางคกจึงกระโดดเข้าไปใกล้  หมายใจจะฉกกินเป็นอาหาร ก็ต้องหยุดชะงักเพราะมดจำพวกนี้ปากมันคม  ถ้าฉกไม่ดีมันก็กัดไม่ปล่อยทีเดียว  เจ้าคางคกเคยถูกมันกัดมาแล้วจึงเข็ดเคี้ยว  เต็มที  เจ้าคางคกจึงมองดูแล้วก็ร้องทักว่า 
     "เฮ้ย เจ้ามดตัวน้อยๆ  นี่เจ้าจะไปไหนกันเป็นทิวแถว?"
     "ไปหาที่อยู่ใหม่น่ะซิ"  เสียงเจ้ามดหัวหน้าร้องตอบ
     "ย้ายที่อยู่ด้วยเหตุอันใดเล่า?"
     "เราหนีฝนหนีน้ำท่วม"
     "นี่ฝนก็ยังไม่ตกน้ำก็ยังไม่ท่วมอะไรเลย"
     "เรารู้ล่วงหน้าว่าฝนจะตกน้ำจะท่วมรังเรา"
     "ทำไมเจ้ารู้ล่วงหน้าได้ เจ้ามีหมอดูแม่นๆ หรือ?"
     "ไม่ต้องมีหมอดูหมอเดาอะไร ธรรมชาติอย่างนี้ ฝูงมดเราก็รู้กันได้ทุกตัวตน"
     "รู้ได้อย่างไรว่าฝนจะตกน้ำจะท่วม"
     "รู้ได้จากอากาศร้อนอบอ้าว  อากาศกดดันเราจะรู้สึกไม่สบายและไ้ดยินเสียงคางคกกัดฟันกรอดๆ  อย่างนี้ฝนจะตกใหญ่  น้ำท่วมรังเราแน่เราจึงพากันย้ายหนึน้ำท่วมรังของเรา"
     "เจ้าได้ยินเสียงเรากัดฟันด้วยหรือนี่?"
     โอ๊ย  เรื่องธรรมดาเจ้ากัดฟันก่อนฝนตก  เราได้ยินชัดเจนมาก เป็นสัญญาเตือนภัยที่จริงเราขอบใจท่านด้วยนะ"
     "แล้วเจ้าคาบอะไรกลมๆรีๆ สีขาวๆ นั่นน่ะ ?"
     "ไข่ของเราไงล่ะ  มันกำลังจะฟักเป็นตัวมดน้อยๆ  ขืนปล่อยทิ้งไว้ในรังน้ำก็ท่วมไหลลอยไปไข่ก็เสีย  ลูกมดของเราก็ตายหมดนะซิ  ท่านตัวโตไม่น่าจะถามโง่ๆ อย่างนี้เลย"
     "แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าที่อยู่ใหม่่จะพ้นน้ำท่วมรัง"
     "เรามองเห็นด้วยจิตวิญญาณของพวกเราว่าน้ำจะท่วมสูงเพียงไร เราก็จะหาที่อยู่ให้สูงพ้นน้ำ"
    เจ้าคางคกได้ฟังก็เงียบนึกตรึกตรองว่า  เจ้ามดตัวน้อยๆ เหล่านี้เดิมเราคิดว่ามันโง่   แต่มันฉลาดมากพอจะรักษาชีวิตให้อยู่รอดจากภัยอันตรายเหมือนกัน
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  สรรพสัตว์น้อยใหญ่ทุกชนิดในโลกนี้ ย่อมมีปัญญารักษาตัวรอดเสมอ  มันจึงมีพีชพันธุ์อยู่ในโลกนี้ได้ต่อมา 

วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2558

นิทานธรรมดาโลก (๑๙)


๕๖. พระไทรเทวา

     ยังมีต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง  มีอายุยั่งยืนมากว่า  ๒๐๐ ปี   มีพระเทวาองค์หนึ่งจุติมาอยู่ในต้นไทรนั้น  วันดีคืนดีพระเทวาก็แสดงเทวาภินิหารให้คนเห็น  คนก็เล่าลือกันไปว่าต้นไทรต้นนี้มีพฤกษาเทวาสถิตย์อยู่  อาจจะคุ้มภัยให้คุณแก่คนทั้งหลายได้ นับแต่นั้นมาก็มีคนมากราบไหว้บูชาสักการะอยู่เสมอ
     วันหนึ่งมีพระธุดงค์องค์หนึ่ง  เดินธุดงค์ท่องเที่ยวแสวงหาความสันโดษวิเวก  บำเพ็ญสมณธรรม  เดินผ่านมาเห็นโคนต้นไทรร่มรื่นดี  จึงปักกลดลงพักอยู่โคนต้นไทรน้ัน
     พระไทรเทวา  เห็นพระธุดงค์มาอาศัยปักกลดอยู่ที่โคนต้นไทร  ครั้นตกกลางคืนดึกสงัด  จึงปรากฎตัวมานั่งไหว้พระธุดงค์อยู่  โดยปรากฎตัวเป็นหญิงสาวสวยงามมากรูปร่างจำเริญตา  ครั้นพระธุดงค์เห็นตัวนั้นก็หลับเนตรเข้าญานภาวนา  ก็ทราบด้วยญานสมาบัติว่าหญิงสาวนี้ที่แท้ก็คือพระไทรเทวา หาใช่มนุษย์ไม่  จึงสั่งสนทนาธรรมกับพฤกษาเทวาว่า 
     "ดูก่อนท่านพฤกษาเทวา  ท่านอาศัยอยู่ที่นี่เป็นสุขดีอยู่หรือ ?"
   พฤกษาเทวา  "เป็นสุขดีพอสมแก่อัตภาพ"
   พระธุดงค์       "อาหารท่านได้มาแต่ไหน?"
   พฤกษาเทวา  "เป็นของทิพย์ ได้มาแต่บุญเก่าทำไว้แต่ปางก่อน"
   พระธุดงค์        "อาหารที่มนุษย์นำมาบวงสรวงท่าน มีอยู่เสมอหรือ"
   พฤกษาเทวา   "มีอยู่เสมอมิได้ขาดเลย บางวันก็มีมากมายจนเหลือเฟือเป็นอาหารแก่นกกา  ลิง ค่าง บ่าง ชนี และสัตว์พวกหนู มด แมงทั้งหลาย"
   พระธุดงค์        "อาหารที่มนุษย์มาถวาย  ท่านได้เสวยบ้างหรืออย่างไร?"
  พฤกษาเทวา  "ลิ้มแต่กลิ่นและรสอนัระเหิดเป็นทิพย์เท่านั้น  เหมือนท่านดมกลิ่นดอกไม้ แต่มิได้กลืนกินดอกไม้เข้าไปฉนั้น"
  พระธุดงค์   "อาหารจำพวก สุรา เมรัย บุหรี มีหรือไม่  ท่านพอใจลิ้มรสมันหรือไม่"
   พฤกษาเทวา  "อาหารมึนเมาบางชนิด  ใครมีอะไร ใครชอบอะไร ก็นึกว่าเทวดาต้องชอบอย่างนั้น  เขาก็เอามาถวายอย่างนั้นเรียกว่า อามิสบูชา คือบูชาตามมีตามชอบของคนแต่ละคน"
   พระธุดงค์   "ของถวายบูชาเหล่านี้มีคุณประโยชน์แก่เทวดาอย่างไรหรือไม่"
   พฤกษาเทวา  "อาหารที่เขานำมาถวายบูชา  ย่อมมีคุณประโยชน์แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสมอ คือ หนึ่ง  เป็นคุณประโยชน์แก่ผู้รับ สองเป็นคุณประโยชน์แก่ผู้ให็  สามเป็นคุณประโยชน์แก่สัตว์อื่น"
   พระธุดงค์   "ที่ว่าเป็นประโยชน์แก่ผู้รับก็ทราบอยู่  แต่เป็นประโยชน์แก่ผู้ให้ และเป็นประโยชน์แก่สัตว์อื่นนั้นคืออะไร?"
   พฤกษาเทวา   "เป็นประโยชน์แก่ผู้ให้คือ ได้บริจาคทาน ย่อมเกิดเป็นบุญกุศลแก่ผู้ให้ทุกครั้ง  ทุกอย่างที่บริจาคออกไปเป็นประโยชน์แก่สัตว์อื่นก็คือ  แม้เทวดาจะไม่ได้ลิ้มรส ก็ยังเป็นประโยชน์แก่นก หนู สัตว์น้อยใหญ่จะได้กินเป็นอาหาร"
   พระธุดงค์   เขาเอาอาหารมาถวายแล้ว ท่านตอบแทนเขาให้เขาไปได้ประโยชน์สมประสงค์อย่างไรหรือไม่ เช่น หายป่วยไข้   ได้โชคลาภ เป็นต้น"
   พฤกษาเทวา  "ทุกคนที่ประกอบกรรมดี  เขาย่อมได้รับผลดี  คือบุญกุศลเกิดแก่เขาทันทีในบัดดลนั้นเอง  เทวาดก็มีแต่พลอยยินดีอนุโมทนา อำนวยพรให้เขาสมประสงค์ คอยดลใจให้เขาคิดดี พูดดี ทำดี ซึ่งก็เท่ากับคอยคุ้มครองบันดาลให้เขาสมประสงค์นั่นเอง"
   พระธุดงค์  "บางคนทำทาน  ทำบุญแล้วแก่พระสงฆ์  และเทวดาก็สมความปรารถนา บางคนก็ไม่สมปรารถนา  ไม่ประสบโชค ไม่พ้นทุกข์พ้นภัย เพราะเหตุใด"
   พฤกษ่าเทวา  "เพราะศรัทธา เพราะศีล เพราะสัจจะ เพราะจาคะ  เพราะปัญญา และเพราะกรรมของเขาต่างกัน"
   พระธุดงค์   "ขอให้ท่านอธิบายให้เข้าใจ"
   พฤกษาเทวา   "ถ้าศรัทธาของเขามั่นคง และมาก เขาก็ย่อมได้รับผลมากกว่าคนที่ศรัทธาคลอนแคลน  และมีศรัทธาหัวเต่ายาวแล้วสั้นได้  เขาย่อมได้รับผลน้อยดังนี้เป็นต้น"
   พระธุดงค์   "ถ้อยคำวาจาของท่านตรงกับสัจธรรมในพระบรมศาสดาของเราทั้งสิ้น"
   พฤกษาเทวา  "ข้าพเจ้าก็กล่าวตามสัจธรรมของพระพุทธเจ้า"
   พระธุดงค์   "เหตุใดท่านจึงมีความรู้ความเข้าใจหลักธรรมในพระพุทธศาสนา"
   พฤกษาเทวา   "เพราะชาติปางก่อน  เราก็บวชอยู่ในพระพุทธศาสนาแล้วจุติมาเกิดเป็นพฤกษาเทวา"
   พระธุดงค์   "เหตุใดท่านจึงจุติมาเกิดเป็นพฤกษาเทวาดังนี้"
   พฤกษาเทวา   ไเพราะข้าพเจ้ายังไม่บรรลุมรรคผล  ยังมีอุปทานยึดมั่นอยู่  จึงยังมิหลุดพ้นเป็นพระอรหันต์เข้านิพพาน  แม้ตัวท่านก็จะมีคติเช่นเดียวกับข้าพเจ้า  ถ้ายังไม่บรรลุพระอรหันต์"
     นิทาานเรื่องนี ้ สอนให้รู้ว่า  ทุกสิ่งที่บริจาคออกไป  ย่อมมีผลแก่ผู้รับ  แก่ตัวผู้บริจาคและสัตว์อื่นเสมอ 

๕๗.กบอยู่ใต้กอบัว
     
     กบตัวหนึ่งมันเกิดอยู่ในสระและเติบโตในสระแห่งหนึ่งซึ่งมีดอกบัวหลวงบานสะพรั่ง
     วันหนึ่ง มันเที่ยวแหวกว่ายน้ำอยู่ในสระ  และเที่ยวกระโดดกินอาหารจนเหนื่อยแล้ว  มันจึงมานั่งพักบนใบบัวที่ลอยแผ่อยู่บนผิวน้ำของบึงน้ัน  มันเห็นผึ้งบินไปมาเข้าคลึงเคล้าเกสรดอกบัว  บินมาแล้วก็บินไปอยู่เสมอ  มันไม่เข้าใจว่าผึ้งเหล่าน้ันบินมาคลึงเกสรดอกบัวเพื่ออะไรกัน  มันจึงร้องถามผึ้งตัวหนึ่งว่า 
      "นั่นเจ้ามาเกาะดอกบัวทำไม?"
     ผึ้งชำเลืองมองดูกบตัวโต  แล้วอมยิ้มนิดหนึ่ง  จึงร้องตอบไปว่า
     "เจ้าน่ะตัวโตเสียเปล่า  แต่โง่เง่าอะไรอย่างนี้ก็ไม่รู้"
     "เอ็งว่าข้าโง่หรือ หัวสมองข้าโตกว่าตัวเจ้านะจะบอกให้"ฃ
     "ถ้าเช่นนั้น  ทำไมเจ้าอยู่ทีกอบัวแล้วไม่รู้คุณค่าของดอกบัวเลย"
     "ดอกบัวมีคุณค่าอย่างไรมั่ง"
     "ดอกบัวมีกลิ่นหอมหวลยั่วยวนใจ  ส่งกลิ่นหอมตามลมไปไกลจนเราอยู่แสนไกล  ก็ได้กลิ่นจึงบินมาตามลมเข้าดื่มดมกลิ่นอันหอมหวลของดอกบัว  ดอกบัวมีเกสรอันละเอียดอ่อนน่าคลุกเคล้าน่านอนนั่ง  น่าไต่ตอม  ดอกบัวมีน้ำหวานอันโอชะ เราดื่มกันแล้วอิ่มเอมหอมหวานชื่นใจนัก   เราดื่มกินแล้วก็อมเอาไปเก็บไว้ยังรวงรังของเราตลอดเวลา  ทำไมหนอสัตว์ตัวโตๆ เช่นเจ้าจึงไม่รู้จักคุณค่าของดอกบัว"
     "อ๋อ  เราไม่สนใจหรอก  ดอกบัวมิใช่อาหารของเรา  อีกอย่างหนึ่งเราเป็นสัตว์ชอบเล่นน้ำ  จมูกเป็นหวัดตลอดปี  เราจึงไม่ได้กลิ่นของดอกบัวเลย  เรากินแต่แมลงที่มาไต่ตอมดอกบัวเหมือนกัน  แต่ผึ้งอย่างเจ้าเราไม่อยากกินหรอก"
     "เพราะอะไรจึงไม่ชอบกินผึ้งอย่างเรา"
     "เพราะกินเข้าไปมันเจ็บปวดปากเหลือเกิน  สัตว์อย่างพวกเจ้านี่เป็นสัตว์ที่มีพิษร้ายแรงเกินตัวจริงๆ เวลาเป็นๆอยู่  แต่ถ้าตกน้ำตายแล้ว เนื้อของเจ้าก็อร่อยมาก"  
     นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า สัตว์ทุกชนิดคิดว่าตนเองฉลาด  สุัตว์อื่นโง่กว่าตนเองเสมอ 

วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2558

นิทานธรรมดาโลก (๑๘)



๕๓. แมงดานา
     
     แมงดาผัวเมียคู่หนึ่ง มันอาศัยอยู่บนต้นไม้ในป่าดงดิบแห่งหนึ่ง   เมื่อถึงฤดูฝนแมงดาตัวเมียก็มีไข่เต็มท้อง   ถึงเวลาต้องออกไข่  เมื่อฝนตกลงมาห่าใหญ่น้ำเจิ่งนองในท้องธาร  แมงดาตัวผู้จึงบินพาแมงดาตัวเมียไปออกไข่  มันบินกันไปด้วยหนทางหลายโยชน์   จนถึงทุ่งนาแห่งหนึ่งมีต้นข้าวในนาเขียวชอุ่ม  มีน้ำขังอยู่ในท้องนา มันเห็นว่าเหมาะที่จะออกไข่ได้ มันจึงพากันบินลงไปยังท้องนา    แมงดาตัวเมียก็จับกอต้นข้าวแล้วเริ่มคายน้ำเมือกติดกับกอต้นข้าว  แล้วออกไข่ติดอยู่ในก้อนเมือก    เมื่อมันวางไข่หมดท้องแล้ว มันก็รู้สึกอ่อนเพลียและหิวอาหาร มันจึงลงจากกอข้าวไปเที่ยวหากินอาหาร  แมงดาตัวผู้ก็มากกไข่แทนเมียของมันอยู่โคนกอข้าว
      ขณะนั้นเห็นหญิงชาวนาเดินลงมาในท้องนา  เที่ยวมองหาไข่แมงดาอยู่  เพื่อจะเก็บเอาไปกินเป็นอาหาร มันรู้ได้ด้วยสัญชาติญาณจึงรีบลงจากกอข้าว  ไต่ลงไปแอบเกาะอยู่โคนกอข้าวในน้ำใส  มองเห็นหญิงชาวนาเดินมาใกล้แล้วเอามือตะปปตัวมันไว้ด้วยความว่องไว  แมงดาตัวผู้พยายามดิ้นรนให้หลุดเป็นอิสระภาพแต่มันดิ้นไม่หลุด   ชาวนาคนน้ันยังเอาเล็บหักจะงอยปากของมันเสียอีกเล่า  แล้วจับเอาตัวมันใส่ในตะข้อง  มันจึงเรียกบอกแมงดาตัวเมียคู่ของมันว่า 
     "พี่ลาก่อน ระวังตัวรักษาไข่ลูกของเราไว้ให้ดีด้วย"
     ขณะน้ันมันเห็นหญิงชาวนาเด็ดยอดกอข้าวเอาไข่ของแมงดาใส่ลงในตะข้องอีกด้วย  รวมกับแมงดาตัวอื่นๆ และไข่แมงดาอื่นอีกจำนวนหนึ่ง
     เมื่อถึงบ้านชาวนาก็เอาทั้งแมงดาและไข่แมงดาทั้งหมดเทลงในหม้อน้ำร้อนที่ต้ังอยู่บนเตา  เพื่อต้มกินเป็นอาหาร   ก่อนที่แมงดาตัวนั้นจะสิ้นใจตายไปในน้ำร้อน มันก็ได้แต่ร้องว่า 
     "สัตว์ตัวน้อยๆ อย่างเรานี้หนอ  ก็ล้วนแต่ต้องตายเพราะลูกเมียทุกตัวไป"
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  สัตว์เกิดมาแล้วก็ต้องตายไป  เพราะสัตว์ใหญ่กินสัตว์น้อยอยู่ตลอดกาลนิรันดร 

๕๔. ปลาหมอตายเพราะปาก
     
     ปลาหมอตัวหนึ่ง  เมื่อถึงฤดูฝนน้ำไหลหลากมันก็กระโดดขึ้นจากลำธารแถกขึ้นฝั่งตามทางที่น้ำไหลมา  เพื่อจะหาที่อยู่ใหม่และหาอาหารที่อุดมสมบูรณ์กว่า  ตลอดจนอยู่ในน้ำท่าที่ใสสะอาดสดชื่นกว่าแหล่งเดิมของมัน แต่เมื่อมันแถกตัวไปบนน้ำตื้นๆ ที่ไหลรินมาน้ันน้ำก็หยุดไหล  มันจึงแถกตัวไถลต่อไปก็หามีน้ำไม่  แต่มันมีความทรหดอดทนจึงแถกตัวต่อไปเพื่อหาแหล่งน้ำใหม่ให้จงได้  แต่ไม่มีน้ำไหลมาเลย  มันหมดแรงจึงนอนเกล็ดแห้งตากแดดอยู่เป็นเวลานาน  นอนหายใจแผ่วๆ อยู่  แต่มันมีความอดทนมากมันจึงยังไม่ตาย   พอถึงตอนเย็นมีฝนตกลงมาอีกห่าใหญ่  พอมีน้ำชุ่่มขึ้น เกล็ดมันลื่นมันจึงตะเกียกตะกายต่อไปจนพบบึงใหญ่ขวางหน้าอยู่ มันจึงตะกายลงไปในบึงแห่งน้้นอย่างมีความสุข 
     วันหนึ่งมีชายตกเบ็ดมาตกเบ็ดที่บริเวณบึงแห่งน้ัน  เขาเอาเหยื่อล่อปลาหมอเมื่อเห็นเหยื่อเคลื่อนไหวไปมา  มันจึงฮุบเหยื่อนั้นทันที  ปากมันจึงติดเบ็ดถูกตวัดลอยขึ้นไปในอากาศแล้วชายนักตกเบ็ดก็จับตัวมันใส่ตะข้อง 
     เมื่อปลาหมอนอนอยู่ในตะข้องนั้น อยู่กับปลาอื่นๆ  มันจึงได้คิดว่าตัวเรานี้เมื่อนอนเกล็ดแห้งอยู่บนบกทั้งวันก็หาตายไม่  คร้ันลงสู่สาครเป็นสุข ก็มาเห็นแก่ปากแก่กินจึงต้องติดเบ็ดมานอนรอความตายอยู่  สมกับคำที่คนเขาว่าปลาหมอตายเพราะปากจริงๆ หนอ
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  ความลำบากไม่เคยทำให้เราตาย แต่ความสุขสบายและเห็นแก่กินทำให้คนและสัตว์ต้องตายมากต่อมากนักแล้ว

๕๕. ตุ๊กแกกับงูเขียว

     ตุ๊กแกกับงูเขียวเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน  ตุ๊กแกเป็นพี่งูเขียวเป็นน้อง  ตุ๊กแกนั้นรักใคร่ห่วงใยงูเขียวน้องของมันมาก  เมื่อเติบโตขึ้นต่างตัวก็ต่างแยกย้ายกันออกไปหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตามประสาสัตว์ที่ต้องหาอาหารกินเลี้ยงตัวเอง   แต่เจ้าตุ๊กแกน้ันมันคิดถึงงูเขียวน้องของมันอยู่เสมอ  เพราะมันเห็นว่ามีแต่ปาก แต่ไม่มีตีนเดิน และไม่มีมือช่วยตัวเองได้  เมื่อตุ๊กแกมันหากินไปจนอิ่มท้อง ต้องนอนนิ่งอยู่ตอนกลางคืนหรือตอนกลางวัน  มันจะร้องเรียกหางูเขียวน้องของมัน   แต่งูเขียวไม่ค่อยคิดถึงตุ๊กแกพี่ของมันเท่าไรนัก   นอกจากเวลาหาอะไรกินไม่ได้ ก็คิดถึงตุ๊กแกบ้าง คร้ันมันหากินไปไกล ได้ยินเสียงพี่ตุ๊กแกร้องเรียกหามัน มันก็รีบเลี้อยมาตามเสียงตุ๊กแกร้องเรียก   ครั้นเห็นหน้าพี่มันก็เข้ามาร้องทักว่า  ข้าหิวนักพี่มีอะไรกินบ้าง  ตุ๊กแกน้ันมีนิสัยรักน้องก็อ้าปากออกบอกว่า อยู่ในท้องพี่นี่แหละ เข้าไปดูในท้องของพี่ดูเถิดพบอะไรก็กินให้อิ่มเถิด  งูเชียวก็เลี้อยล้วงคอเข้าไปในปากตุ๊กแก  มันหาอาหารในท้องของตุ๊กแก พบอะไรอยู่ในท้องก็กินจนหมด พอกินอาหารในท้องตุ๊กแกหมดแล้วก็เลี้อยไปหากินต่อไป  ไม่ได้ห่วงใยว่าตุ๊กแกจะเหลืออาหารอยู่ในท้องของพี่มันหรือไม่  ถ้ามันกินอาหารอิ่มท้องมันก็เกาะกิ่งไม้หลับตานิ่งอยู่ ไม่ได้คิดถึงพี่ตุ๊กแกเลย
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  เป็นพี่ต้องเสียสละเสมอเพื่อน้องตลอดมา  ต้องให้ความรักใคร่เมตตาต่อน้องด้วยความบริสุทธิ์ใจโดยมิต้องหวังอะไรตอบแทนเลย 

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2558

นิทานธรรมดาโลก (๑๗)



๕๐. ใบไม้แห้งร่วงจากต้น

     ต้นหูกวางใหญ่ต้นหนึ่ง   ยืนต้นคู่กับต้นจามจุรีและต้นยางในวัดใหญ่แห่งหนึ่งมานานปี   จนเป็นต้นไม้ใหญ่มีอายุมากทั้ง ๓ ต้น
     ทุกปีทุกเดือนทุกวัน  ใบหูกวางย่อมหลุดจากขั้วเพราะแห้งบ้าง  เพราะถูกลมพายุบ้าง  ต้นหูกวางก็ยืนดูใบของมันร่วงหล่นอยู่ตลอดเวลา มันก็มีความเศร้าโศกเสียดายว่า ใบของมันต้องร่วงหล่นไปตลอดเวลา
     แต่บางครั้งบางคราวมันก็ได้ยินเสียงกระซิบจากใบไม้เหล่าน้ันว่า  อย่าห่วงอาลัยเลย  ไม่ช้านานหรอก พวกเราก็จะสลายตัวละลายกลายเป็นธาตุดิน  น้ำ  ลม  ไฟ กลับคืนเข้าไปอยู่ในดินตามเดิม 
     ต้นจามจุรีก็เหมือนกัน  ทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี ลูกของมัน ใบของมัน ดอกของมัน ก็ร่วงหล่นลงสู่พื้นดินอยู่ตลอดเวลา  มันยืนมองดูแล้วก็เสียดายอาลัยรักชิ้นส่วนในร่างกายของมันที่ร่วงหล่นลงไป
     แต่นานๆ ทีมันก็ได้ยินเสียงกระซิบจากลูก  จากดอก จากใบของมัน ที่ร่วงหล่นลงไป  บอกว่าแม่อย่าห่วงอาลัยเลย  ไม่ช้าพวกเราก็สลายตัวกลายเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ  กลับคืนเข้าไปอยู่กับแม่เหมือนเดิม 
     ต้นยางแก่  โชคร้ายกว่าเพื่อน  เพราะปีนี้มีคนมาโค่นต้นของมันล้มลง เอาลำต้นของมันเลื่อยมาเป็นแผ่นกระดาน ขนเอาไปขายในเมือง  เหลือแต่ตอต้ังอยู่  ตกกลางคืนยามดึกมันก็นั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่
     แต่ร่างทิพย์ของมันเอง  กลับมาร้องบอกว่า แม่ไม่ต้องห่วงอาลัย อีกไม่กี่ปีหรอก  เราก็จะสลายตัวกลายเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ กลับคืนไปรวมอยู่กับแม่เหมือนเดิม
     เพราะต้นไม้พืชพันธ์ุทั้งหลายน้อยใหญ่ในโลกธาตุนี้ หามีตัวตนจริงไม่  เป็นแต่สิ่งปรุงแต่งก่อรูปกายขึ้นมาจากดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อหมดอายุขัย ถูกทำลายลงด้วยเหตุใดก็ดี  ย่อมจะสลายตัวกลายไปเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ  ตามธาตุเดิมที่พระพรหมสร้างขึ้นมา  เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม ก็จะถูกสร้างขึ้นใหม่ เป็นพืช สัตว์ ทั้งปวงในโลกนี้  หมดอายุขัยแล้วก็จะแตกสลายไปอีกหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปมาจากรูปเป็นนาม  จากนามเป็นรูป เช่นนี้ชั่วกัปป์ชั่วกัลป์  มิได้สูญหายไปไหนเลย
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  สรรพสิ่งในโลกนี้ แร่ธาตุ พืชพันธุ์ สัตว์ มนุษย์ ดิน น้ำ ลม ไฟ  แผ่นดิน แผ่นน้ำ  ย่อมเป็นสิ่งเดียวกันโดยแท้  ที่มีรูปร่างเห็นด้วยตา จับต้องด้ มีสี มีรส มีกลิ่น มีน้ำหนัก เราเรียกว่า วัตถุ หรือรูป ที่แลไม่เห็นด้วยตา จับต้องไม่ได้ แต่ก็มีอยู่  เช่น ลม และไฟฟ้า  เราเรียกว่า พลังงานหรือนาม  ทั้งรูปและนาม ทั้งวัตถุ และพลังงานล้วนแต่เกิดขึ้่น ต้ังอยู่ดับไป  เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ตลอดเวลา  อย่าไปยึดถือสิ่งใดว่าเป็นเขาเป็นเราเลย  เราคือเขา  เขาคือเรา เป็นสิงเดียวกัน  แต่ต่างแยกตัวมีอิสระจากกันเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น  ทุกสิ่งเป็นสิ่งเป็นเครื่องเล่นของพระพรหมทั้งสิ้น  พระผู้เป็นเจ้าน้ันเป็นองค์เดียวกัน  ถึงแม้ว่าใครจะเรียกว่า พระพรหม พระนารายณ์ พระอิศวร พระพุทธเจ้า พระเทวาติเทพ พระวิสุทธิเทพ พระอมฤตเทพ พระเทวธิราช พระสยามเทวาธราช แต่พระผู้เป็นเจ้าองค์นี้แหละคือสิ่งสูงสุดมีบรมเดชานุภาพสูงสุดในสากลจักรวาลนี้  เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง  คิดไมถึง  เป็นอจินไตยโดยแท้  เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งในโลกนี้ 

๕๑. ค่าของคนกับรองเท้า

     ในกาลครั้งหนึ่ง  ชายคนหนึ่งได้เดินทางกับภรรยาเพื่อไปเยี่ยมบ้านภรรยายังต่างหัวเมือง   ต้องเดินทางด้วยเท้าผ่านทุ่งและหมู่บ้านชนบทไปไกล   เป็นหนทางหลายพันโยชน์  ระหว่างที่เดินทางไปนั้น  ฝนตกใหญ่พื้นดินในทุ่งนาเป็นโคลนเลน  รองเท้าที่ชายคนน้ันสวมไปจึงใช้สวมไม่ได้  จำเป็นต้องถอดรองเท้าหิ้วไป  เมื่อผ่านไปยังบ้านแห่งหนึ่งชายผู้นั้นจึงแวะเข้าไปบ้านชาวชนบทนั้น  ขอฝากรองเท้าคู่นั้นไว้  ชายชาวชนบทก็ยินดีรับฝากไว้ด้วยดี 
     เมื่อเดินทางไปอีกระยะหนึ่งก็เกิดเคราะห์ร้าย  ภรรยาของชายคนน้ันก็ถูกงูเห่ากัดตายระหว่างทาง   ชายคนนั้นจีงมีความรักความอาลัยภรรยามาก  แต่ไม่มีเครื่องมือจะทำการฝังศพภรรยาได้  จึงแบกศพของภรรยาเดินกลับมายังบ้านชาวชนบทคนนั้น   ออกปากว่าขอฝากศพภรรยาไว้สักคืนหนึ่ง  จะเดินทางกลับไปบอกญาติพี่น้องมาจัดการศพภรรยาวันพรุ่งนี้  จะทิ้งศพภรรยาไว้ในป่าก็เกรงเสือจะมากินศพภรรยาเสีย   แต่ชายชาวชนบทน้ันปฎิเสธไม่ยอมรับฝากศพพภรรยาของชายคนน้้นไว้ในบ้านของตน   จะแค่นอย่างไรจะจะจ้างวานอย่างไร  จะสัญญาให้เงินค่าเฝ้าศพเท่าไร  ชายชาวชนบทคนน้ันก็ไม่ยอมรับฝากศพเป็นอันขาด   ชายคนนั้นจำต้องแบกศพภรรยาเดินทางกลับบ้านด้วยความลำบาก  หนักเข้าทนไม่ไหวและศพนั้นก็เริ่มเน่ามีกลิ่นเหม็น   ชายผู้นั้นก็จำต้องทิ้งศพภรรยาไว้ที่ชายป่าน้้น 
     เมื่อจะจากศพภรรยาไป  เขาก็พูดรำพึงขึ้นว่า "น้องคนงามสุดที่รักของพี่เอ๋ย  เมื่อน้องยังมีชีวิตอยู่  รูปร่างหน้าตาก็โสภาเพียงบาดใจตาย  แต่เมื่อน้องตายแล้วซากศพของน้องก็เน่าเหม็น  จะฝากใครไว้ก็ไม่มีใครรับฝาก  ช่างมีค่าน้อยกว่ารองเท้าเก่าๆ คู่หนึ่งเสียอีกหนอ"
     นิทานเรื่องนี้  เรื่องธรรมดาของโลกสอนให้ชายผู้นั้นเห็นว่า  ร่างกายของคนเมื่อตายแล้วน้ัน  มีค่าน้อยกว่ารองเท้าคู่หนึ่งเสียอีกเล่า 

๕๒. แมวขี้แล้วกลบ
     
     หมาน้อยตัวหนึ่งมันเป็นหมาวัด  มันเดินไปมาในบริเวณวัดแห่งนั้น  คร้ันมันรู้สึกปวดท้อง  จึงโก่งก้นถ่ายอุจจาระแล้วก็เดินต่อไป  พบแมวตัวหนึ่งกำลังใช้เท้าคุ้ยทรายกลบอะไรอยู่  กลบไม่มิดก็คุ้ยดินกลบอีก   แล้วดมพิสูจน์กลิ่นดูเมื่อดินกลบมิดแล้ว  มันจึงหันกลับมาพบหมาน้อยกำลังจ้องมองอยู่ มันจึงถามว่า 
     "แกจ้องดูอะไร ?"
     "ข้าดูว่าแกกำลังคุ้ยดินกลบอะไรอยู่   แกจับหนูได้แล้วกินไม่หมด  จึงคุ้ยดินกลบซ่อนไว้ใช่ไหม่ล่ะ"
     "ใครว่า ข้ากลบขี้่ต่างหาก"
     "กลบขี้ของใคร ?"
     "กลบขี้ของข้่าเองแหละ"
     "อ๋อ  นี่เอ็งขี้แล้วต้องกลบด้วยหรือ ?"
     "ใช่แล้ว  เป็นนิสัยของแมวทุกตัว"
     "นี่ข้าถามจริงๆเถอะ"
     "ถามว่าไง ?"
     "ถามว่าเจ้ากลบขี้ทำไม"
     "อ้าว  ก็ขี้มันเหม็น สัตว์อื่นก็เหม็น เมื่อขี้แล้วก็ต้องกลบไม่ให้ส่งกลิ่นเหม็นน่ะซิ"
     "ถ้าไม่กลบจะเกิดอะไรขึ้น?"
     "ถ้าไม่กลบ ข้าก็กลายเป็นหมาเหมือนแก   แกก็รู้อยู่แล้วว่าหมาอย่างพวกแกไม่เกลียดขี้   แต่ว่าแมวอย่างเราเกลียดขี้"
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า สัตว์ที่มีนิสัยสะอาดน้ันย่อมเกลียดสิ่งสกปรกฉันใด  เหมือนคนดีย่อมเกลียดความชั่วฉันนั้น