วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

นิทานธรรมดาโลก (๒๓)


๖๗.นกพิราบกับค้างคาว

     ค้างคาวตัวหนึ่งมันออกหากินตอนกลางคืน  คืนนั้นมันบินไปกินลูกหว้าที่หลังวัดแห่งหนึ่ง พบนกพิราบจับกิ่งไม้หว้าหลับตาอยู่ มันจึงร้องถามว่า 
     "นี่เจ้าเป็นใคร มาจากไหน?"
     นกพิราบลืมตาขึ้นร้องตอบว่า
     "เรานกพิราบไงล่ะ มาจากโบสถ์ในวัดโน่นแหละ"
     "แต่ก่อนนี้เราไม่เคยเห็นเจ้ามาอยู่ที่ต้นหว้านี้ ทำไมเจ้าไม่อยู่ที่โบสถ์นั้นต่อไป?"
     "โชคร้ายเต็ฺมที เดี๋ยวนี้เราประสบโชคร้าย"
     "ทำไมล่ะ โชคร้ายอย่างไร"
     "แต่ก่อนนี้เราอาศัยนอนอยู่ในโบสถ์ในเวลากลางคืน  เวลากลางวันก็ลงมาหากินในลานวัด มีคนใจบุญเอาข้าวเปลือก ถั่วแดง ถั่วเหลือง ข้างฟ่าง  มาเลี้ยงเราจนอิ่มทุกวัน สบายมาก"
     "แล้วเกิดอะไรขึ้นล่ะ"
    "ต่อมาเขาว่าเราไม่มีคุณประโยชน์   เอาแต่กินแล้วขี้เยี่ยวสกปรกโบสถ์เลอะเทอะศาลา  เขาก็ขับไล่เราไม่ให้อยู่ที่โบสถ์  แล้วก็ไม่มีคนเอาอาหารมาเลี้ยงดูเราเลย  เราจึงต้องมาอาศัยต้นหว้านี่อยู่  แล้วเที่ยวหาอาหารกินเอง  ฝึดเคืองมากแต่ก่อนโชคดี เดี๋ยวนี้โชคร้ายเต็มที"
     ค้างคาวฟังแล้วก็ร้องขึ้นว่า
     "ผิดกับเรา  เราโชคสถานปานกลางมาตลอดเวลา ไม่มีโชคดีไม่มีโชคร้าย เราอาศัยอยู่ในถ้าที่ภูเขาโน่น ในเวลากลางวัน ไม่มีใครรบกวนเราเลย กลางคืนเราก็ออกหากิน ผลไม้ในป่าไม่ต้องแก่งแย่งกับนกอื่นๆ  เรามีความเป็นอยู่สถานปานกลางอย่างนี้ เพราะเราพึ่งตัวเองหากินเอง  หาอยู่เอง ไม่ต้องอาศัยสัตว์อื่น"
     "ขี้เยี่ยวของท่าน ไม่มีสัตว์อื่นรังเกียจว่าสกปรกเลอะเทอะเลยหรือ?"
     "ขี้ของเราเห็นมีคนมาเก็บกวาดใส่กระสอบขนไปจากถ้ำคราวละหลายๆกระสอบนะ เราเข้าใจว่าขึ้ของเราก็มีค่า จึงมีคนต้องการมาขนไปใช้ประโยชน์"
     นกพิราบ ฉงนสนเท่ห์มาก เมื่อได้ยินค้างคาวว่าขึ้ของมันก็มีคนต้องการ จึงพูดว่า
     "แต่ขึ้ของเราเขาว่าสกปรกเลอะเทอะโบสถ์ศาลา"
     ค้างคาวพูดว่า
     "ท่านลองมานอนในถ้า  ขี้ในถ้า นอนที่นอนที่  ขี้ให้เป็นที่อย่างเราบ้างซิ  เราว่าคงมีคนต้องการเหมือนกันนะ ข้อสำคัญต้องเป็นขี้ที่ถ่ายจากท้องของเราที่หากินเอง ไม่ใช่ขอเขากินด้วยนะ"
     เจ้าค้างคาวพูดเป็นปริศนา เจ้านกพิราบได้แต่นิ่งฟังแล้วก็ไม่เข้าใจอะไร
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนแต่มีคุณประโยชน์แม้แต่ขึ้ ถ้ารู้จักขี้ให้เป็นที่เป็นทาง  และรู้จักใช้ขี้ของสัตว์น้ันให้ถูกต้อง ก็เอาเป็นปุ๋ยของพืชได้

๖๘  หมาเพื่อนแก้ว

     หญิงหม้ายคนหนึ่ง  อายุอยู่ในวัยชรา  มีจิตใจเมตตา รักสัตว์ แกเลี้ยงสุนัขและแมวไว้หลายตัว  เวลาเช้าแกชอบเดินแล่นออกกำลังกาย แกอุ้มแมวสีสวาทตัวโปรดไว้ตัวหนึ่ง   เดินไปตามถนนหน้าบ้าน มีสุนัขแสนรู้ตัวหนึ่งเดินตามหลังแกไปด้วย  เช้าวันนั้นเคราะห์ร้าย มีผู้ร้ายคนหนึ่งเดินสวนทางมา เห็นแกสวมสร้อยทองอยู่ที่คอ  จึงได้กระชากสร้อยคอ  หญิงชราดิ้นรนต่อสู้  ผู้ร้ายจึงตีด้วยไม้จนหญิงชราล้มลง  ผู้ร้ายก็กระชากสร้อยคอวิ่งหนีไป  ส่วนเจ้าแมวสีสวาทมันตกใจวิ่งหนีกลับไปบ้าน ไปนอนเลียขนอยู่ ไม่ได้เป็นห่วงหญิงชรานั้นแต่อย่างใดเลย  ส่วนสุนัขแสนรู้ได้วิ่งไล่กวดผู้ร้ายไป  ไล่กัดน่องผู้ร้ายได้ แล้วก็วิ่งกลับมาดูนายของมัน  เห็นนายของมันนอนเลือดไหลอยู่มีบาดแผล มันก็เลียแผลให้จนแห้งแล้วนั่งเฝ้านอนเฝ้าอยู่ไม่ห่าง  จนกระทั่งคนเดินมามันก็เห่าส่งเสียงให้รู้ว่านายของมันบาดเจ็บ  จนคนในบ้านมาพานายของมันส่งโรงพยาบาล  เมื่อนายของมันหายป่วยแล้วก็กลับบ้าน  ลูกหลานของนายมันก็พูดกันถืงเรื่องนี้วิพากษ์วิจารณ์กัน คนหนึ่งพูดว่า 
     "หมาน้ันมันเป็นเพื่อนแก้ว  แมวนั้นเป็นเพื่อนกอด ใครจะเลือกเพื่อนอยางไหน"
     คนหนึ่งพูดว่า "คนแก่ คนหนุ่ม คนสาว มันจะเลือกเพื่อนกอด เพราะมันอุ่นอกอุ่นใจ  แต่คนที่ฉลาดมันจะเลือกเอาเพื่อนแก้วเพราะเป็นเพื่อนทุกข์เพื่อนยากฝากผีฝากไข้ได้จริง"
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  เพื่อนแก้วจะเห็นได้ในยามทุกข์ยากเท่านั้น  ในเวลาปกติอยู่ดีมีสุข  ก็มีแต่เพื่อนกิน เพื่อนกอดเท่านั้น

๖๙.เพชรสีชมพู

     ยังมีเพชรเม็ดหนึ่ง  มันเป็นเพชรสีชมพูมีค่ามาก เพราะหายาก คนที่มีโชคได้ไว้เชยชมก็ล้วนแต่เป็นเจ้าหญิง  ท่านผู้หญิง สตรีชั้นสูงศักดิ์ที่ร่ำรวยทรัพย์มากนับล้านเท่าน้ัน
     เพชรสีชมพูเม็ดนี้  มันมีอายุจมอยู่ในดินก็หลายล้านปี  มันถูกขุดพบนำมาเจียรนัยเป็นเพชรน้ำงามประดับเรือนแหวนก็นับเป็นเวลาได้หลายร้อยปีแล้ว  มันจึงถูกซื้อขายเปลี่ยนเจ้าของมาจนนับไม่ถ้วน
     ครั้งสุดท้าย มันตกไปเป็นของท่านผู้หญิงผู้มียศศักดิ์อัครฐานคนหนึ่ง  ซึ่งเจ้าของชื่นชมหวงแหนมาก  มักจะสวมใส่ไว้ติดตัวอยู่เสมอ
     อยู่มาวันหนึ่ง มีผู้ร้ายเข้ามาทำร้ายท่านผู้หญิงนั้นถึงแก่รรม ผู้ร้ายก็เอาแหวนเพชรสีชมพูไปขายยังร้านทำเครื่องเพชรแห่งหนึ่ง
     ต่อมาโจรผู้ร้ายก็ถูกจับตัวได้  แล้วนำตำรวจมาที่ร้านค้าเพชรน้ัน ตำรวจจึงมาเอาเจ้าของร้านไปดำเนินคดีด้วย
      ตำรวจเจ้าของคดีน้ัน ครั้นเห็นเพชรสีชมพูเม็ดงามจึงเกิดความโลภอยากได้  จึงทำการยักยอกเอาเพชรสีชมพูนั้นไว้ เปลียนเอาเพชรของภรรยามาเป็นของกลางแทน  ภรรยาตำรวจผู้นั้นก็สวมเพชรเม็ดนั้น 
     ต่อมาตำรวจผู้นั้นกับภรรยาก็ถูกดำเนินคดีว่าทุจริตต่อหน้าที่ ฐานสับเปลี่ยนของกลางคือแหวนเพชรสีชมพูน้ัน  จนถูกออกจากราชการ และถูกจำคุกด้วย  
     แหวนเพชรสีชมพูนั้น ก็ถูกส่งคืนไปยังบุตรสาวของท่านผู้หญิงน้ัน ตกกลางคืนบุตรสาวของท่านผู้หญิงฝันว่าได้พบเจ้าหญิงองค์หนึ่งรูปร่างสวยงามเหมือนนางฟ้า  ผิวสีชมพูอร่ามไปทั้งองค์บอกว่าเธอชื่อเพชรสีชมพู  เคยได้อยู่กับสามีหลายร้อยพันปีแล้ว  อยู่กับใครคนน้ันก็โชคร้ายอายุสั้น  ไม่มีใครมีบุญได้ครอบครองเป็นเจ้าของเธอเลย แม่หนูเป็นคนดีอย่าได้หลงใหลตัวของเธอเลย  ถ้าขืนหลงใหลก็จะโชคร้าย  อายุสั้น  ว่าแล้วเท่าน้ันก็หายตัวไปกลายเป็นแหวนเพชรสีชมพูอยู่ที่นิ้วของคนฝันนั้น 
     เมื่อตื่่นขึ้นมาก็รู้สึกว่าแหวนเพชรนี้มีอาถรรพณ์ ไม่อยากไ้ด้ไว้เป็นสมบัติจึงจำหน่ายให้เจ้าหญิงองค์หนึ่งไป
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ของมีค่าย่อมอยู่กับคนมีศักดิ์เสมอกัน ถ้าอยู่กับคนต่ำศักดิ์จะทำให้เกิดความวิบัติแก่ผู้นั้นได้ แต่คนก็มันนึกว่าตนมีศักดิ์ มีบุญเพราะความโลภความหลงมัวเมาอยู่เสมอมา