วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2558

นิทานธรรมดาโลก (๑๘)



๕๓. แมงดานา
     
     แมงดาผัวเมียคู่หนึ่ง มันอาศัยอยู่บนต้นไม้ในป่าดงดิบแห่งหนึ่ง   เมื่อถึงฤดูฝนแมงดาตัวเมียก็มีไข่เต็มท้อง   ถึงเวลาต้องออกไข่  เมื่อฝนตกลงมาห่าใหญ่น้ำเจิ่งนองในท้องธาร  แมงดาตัวผู้จึงบินพาแมงดาตัวเมียไปออกไข่  มันบินกันไปด้วยหนทางหลายโยชน์   จนถึงทุ่งนาแห่งหนึ่งมีต้นข้าวในนาเขียวชอุ่ม  มีน้ำขังอยู่ในท้องนา มันเห็นว่าเหมาะที่จะออกไข่ได้ มันจึงพากันบินลงไปยังท้องนา    แมงดาตัวเมียก็จับกอต้นข้าวแล้วเริ่มคายน้ำเมือกติดกับกอต้นข้าว  แล้วออกไข่ติดอยู่ในก้อนเมือก    เมื่อมันวางไข่หมดท้องแล้ว มันก็รู้สึกอ่อนเพลียและหิวอาหาร มันจึงลงจากกอข้าวไปเที่ยวหากินอาหาร  แมงดาตัวผู้ก็มากกไข่แทนเมียของมันอยู่โคนกอข้าว
      ขณะนั้นเห็นหญิงชาวนาเดินลงมาในท้องนา  เที่ยวมองหาไข่แมงดาอยู่  เพื่อจะเก็บเอาไปกินเป็นอาหาร มันรู้ได้ด้วยสัญชาติญาณจึงรีบลงจากกอข้าว  ไต่ลงไปแอบเกาะอยู่โคนกอข้าวในน้ำใส  มองเห็นหญิงชาวนาเดินมาใกล้แล้วเอามือตะปปตัวมันไว้ด้วยความว่องไว  แมงดาตัวผู้พยายามดิ้นรนให้หลุดเป็นอิสระภาพแต่มันดิ้นไม่หลุด   ชาวนาคนน้ันยังเอาเล็บหักจะงอยปากของมันเสียอีกเล่า  แล้วจับเอาตัวมันใส่ในตะข้อง  มันจึงเรียกบอกแมงดาตัวเมียคู่ของมันว่า 
     "พี่ลาก่อน ระวังตัวรักษาไข่ลูกของเราไว้ให้ดีด้วย"
     ขณะน้ันมันเห็นหญิงชาวนาเด็ดยอดกอข้าวเอาไข่ของแมงดาใส่ลงในตะข้องอีกด้วย  รวมกับแมงดาตัวอื่นๆ และไข่แมงดาอื่นอีกจำนวนหนึ่ง
     เมื่อถึงบ้านชาวนาก็เอาทั้งแมงดาและไข่แมงดาทั้งหมดเทลงในหม้อน้ำร้อนที่ต้ังอยู่บนเตา  เพื่อต้มกินเป็นอาหาร   ก่อนที่แมงดาตัวนั้นจะสิ้นใจตายไปในน้ำร้อน มันก็ได้แต่ร้องว่า 
     "สัตว์ตัวน้อยๆ อย่างเรานี้หนอ  ก็ล้วนแต่ต้องตายเพราะลูกเมียทุกตัวไป"
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  สัตว์เกิดมาแล้วก็ต้องตายไป  เพราะสัตว์ใหญ่กินสัตว์น้อยอยู่ตลอดกาลนิรันดร 

๕๔. ปลาหมอตายเพราะปาก
     
     ปลาหมอตัวหนึ่ง  เมื่อถึงฤดูฝนน้ำไหลหลากมันก็กระโดดขึ้นจากลำธารแถกขึ้นฝั่งตามทางที่น้ำไหลมา  เพื่อจะหาที่อยู่ใหม่และหาอาหารที่อุดมสมบูรณ์กว่า  ตลอดจนอยู่ในน้ำท่าที่ใสสะอาดสดชื่นกว่าแหล่งเดิมของมัน แต่เมื่อมันแถกตัวไปบนน้ำตื้นๆ ที่ไหลรินมาน้ันน้ำก็หยุดไหล  มันจึงแถกตัวไถลต่อไปก็หามีน้ำไม่  แต่มันมีความทรหดอดทนจึงแถกตัวต่อไปเพื่อหาแหล่งน้ำใหม่ให้จงได้  แต่ไม่มีน้ำไหลมาเลย  มันหมดแรงจึงนอนเกล็ดแห้งตากแดดอยู่เป็นเวลานาน  นอนหายใจแผ่วๆ อยู่  แต่มันมีความอดทนมากมันจึงยังไม่ตาย   พอถึงตอนเย็นมีฝนตกลงมาอีกห่าใหญ่  พอมีน้ำชุ่่มขึ้น เกล็ดมันลื่นมันจึงตะเกียกตะกายต่อไปจนพบบึงใหญ่ขวางหน้าอยู่ มันจึงตะกายลงไปในบึงแห่งน้้นอย่างมีความสุข 
     วันหนึ่งมีชายตกเบ็ดมาตกเบ็ดที่บริเวณบึงแห่งน้ัน  เขาเอาเหยื่อล่อปลาหมอเมื่อเห็นเหยื่อเคลื่อนไหวไปมา  มันจึงฮุบเหยื่อนั้นทันที  ปากมันจึงติดเบ็ดถูกตวัดลอยขึ้นไปในอากาศแล้วชายนักตกเบ็ดก็จับตัวมันใส่ตะข้อง 
     เมื่อปลาหมอนอนอยู่ในตะข้องนั้น อยู่กับปลาอื่นๆ  มันจึงได้คิดว่าตัวเรานี้เมื่อนอนเกล็ดแห้งอยู่บนบกทั้งวันก็หาตายไม่  คร้ันลงสู่สาครเป็นสุข ก็มาเห็นแก่ปากแก่กินจึงต้องติดเบ็ดมานอนรอความตายอยู่  สมกับคำที่คนเขาว่าปลาหมอตายเพราะปากจริงๆ หนอ
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  ความลำบากไม่เคยทำให้เราตาย แต่ความสุขสบายและเห็นแก่กินทำให้คนและสัตว์ต้องตายมากต่อมากนักแล้ว

๕๕. ตุ๊กแกกับงูเขียว

     ตุ๊กแกกับงูเขียวเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน  ตุ๊กแกเป็นพี่งูเขียวเป็นน้อง  ตุ๊กแกนั้นรักใคร่ห่วงใยงูเขียวน้องของมันมาก  เมื่อเติบโตขึ้นต่างตัวก็ต่างแยกย้ายกันออกไปหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตามประสาสัตว์ที่ต้องหาอาหารกินเลี้ยงตัวเอง   แต่เจ้าตุ๊กแกน้ันมันคิดถึงงูเขียวน้องของมันอยู่เสมอ  เพราะมันเห็นว่ามีแต่ปาก แต่ไม่มีตีนเดิน และไม่มีมือช่วยตัวเองได้  เมื่อตุ๊กแกมันหากินไปจนอิ่มท้อง ต้องนอนนิ่งอยู่ตอนกลางคืนหรือตอนกลางวัน  มันจะร้องเรียกหางูเขียวน้องของมัน   แต่งูเขียวไม่ค่อยคิดถึงตุ๊กแกพี่ของมันเท่าไรนัก   นอกจากเวลาหาอะไรกินไม่ได้ ก็คิดถึงตุ๊กแกบ้าง คร้ันมันหากินไปไกล ได้ยินเสียงพี่ตุ๊กแกร้องเรียกหามัน มันก็รีบเลี้อยมาตามเสียงตุ๊กแกร้องเรียก   ครั้นเห็นหน้าพี่มันก็เข้ามาร้องทักว่า  ข้าหิวนักพี่มีอะไรกินบ้าง  ตุ๊กแกน้ันมีนิสัยรักน้องก็อ้าปากออกบอกว่า อยู่ในท้องพี่นี่แหละ เข้าไปดูในท้องของพี่ดูเถิดพบอะไรก็กินให้อิ่มเถิด  งูเชียวก็เลี้อยล้วงคอเข้าไปในปากตุ๊กแก  มันหาอาหารในท้องของตุ๊กแก พบอะไรอยู่ในท้องก็กินจนหมด พอกินอาหารในท้องตุ๊กแกหมดแล้วก็เลี้อยไปหากินต่อไป  ไม่ได้ห่วงใยว่าตุ๊กแกจะเหลืออาหารอยู่ในท้องของพี่มันหรือไม่  ถ้ามันกินอาหารอิ่มท้องมันก็เกาะกิ่งไม้หลับตานิ่งอยู่ ไม่ได้คิดถึงพี่ตุ๊กแกเลย
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  เป็นพี่ต้องเสียสละเสมอเพื่อน้องตลอดมา  ต้องให้ความรักใคร่เมตตาต่อน้องด้วยความบริสุทธิ์ใจโดยมิต้องหวังอะไรตอบแทนเลย 

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2558

นิทานธรรมดาโลก (๑๗)



๕๐. ใบไม้แห้งร่วงจากต้น

     ต้นหูกวางใหญ่ต้นหนึ่ง   ยืนต้นคู่กับต้นจามจุรีและต้นยางในวัดใหญ่แห่งหนึ่งมานานปี   จนเป็นต้นไม้ใหญ่มีอายุมากทั้ง ๓ ต้น
     ทุกปีทุกเดือนทุกวัน  ใบหูกวางย่อมหลุดจากขั้วเพราะแห้งบ้าง  เพราะถูกลมพายุบ้าง  ต้นหูกวางก็ยืนดูใบของมันร่วงหล่นอยู่ตลอดเวลา มันก็มีความเศร้าโศกเสียดายว่า ใบของมันต้องร่วงหล่นไปตลอดเวลา
     แต่บางครั้งบางคราวมันก็ได้ยินเสียงกระซิบจากใบไม้เหล่าน้ันว่า  อย่าห่วงอาลัยเลย  ไม่ช้านานหรอก พวกเราก็จะสลายตัวละลายกลายเป็นธาตุดิน  น้ำ  ลม  ไฟ กลับคืนเข้าไปอยู่ในดินตามเดิม 
     ต้นจามจุรีก็เหมือนกัน  ทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี ลูกของมัน ใบของมัน ดอกของมัน ก็ร่วงหล่นลงสู่พื้นดินอยู่ตลอดเวลา  มันยืนมองดูแล้วก็เสียดายอาลัยรักชิ้นส่วนในร่างกายของมันที่ร่วงหล่นลงไป
     แต่นานๆ ทีมันก็ได้ยินเสียงกระซิบจากลูก  จากดอก จากใบของมัน ที่ร่วงหล่นลงไป  บอกว่าแม่อย่าห่วงอาลัยเลย  ไม่ช้าพวกเราก็สลายตัวกลายเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ  กลับคืนเข้าไปอยู่กับแม่เหมือนเดิม 
     ต้นยางแก่  โชคร้ายกว่าเพื่อน  เพราะปีนี้มีคนมาโค่นต้นของมันล้มลง เอาลำต้นของมันเลื่อยมาเป็นแผ่นกระดาน ขนเอาไปขายในเมือง  เหลือแต่ตอต้ังอยู่  ตกกลางคืนยามดึกมันก็นั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่
     แต่ร่างทิพย์ของมันเอง  กลับมาร้องบอกว่า แม่ไม่ต้องห่วงอาลัย อีกไม่กี่ปีหรอก  เราก็จะสลายตัวกลายเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ กลับคืนไปรวมอยู่กับแม่เหมือนเดิม
     เพราะต้นไม้พืชพันธ์ุทั้งหลายน้อยใหญ่ในโลกธาตุนี้ หามีตัวตนจริงไม่  เป็นแต่สิ่งปรุงแต่งก่อรูปกายขึ้นมาจากดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อหมดอายุขัย ถูกทำลายลงด้วยเหตุใดก็ดี  ย่อมจะสลายตัวกลายไปเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ  ตามธาตุเดิมที่พระพรหมสร้างขึ้นมา  เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม ก็จะถูกสร้างขึ้นใหม่ เป็นพืช สัตว์ ทั้งปวงในโลกนี้  หมดอายุขัยแล้วก็จะแตกสลายไปอีกหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปมาจากรูปเป็นนาม  จากนามเป็นรูป เช่นนี้ชั่วกัปป์ชั่วกัลป์  มิได้สูญหายไปไหนเลย
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  สรรพสิ่งในโลกนี้ แร่ธาตุ พืชพันธุ์ สัตว์ มนุษย์ ดิน น้ำ ลม ไฟ  แผ่นดิน แผ่นน้ำ  ย่อมเป็นสิ่งเดียวกันโดยแท้  ที่มีรูปร่างเห็นด้วยตา จับต้องด้ มีสี มีรส มีกลิ่น มีน้ำหนัก เราเรียกว่า วัตถุ หรือรูป ที่แลไม่เห็นด้วยตา จับต้องไม่ได้ แต่ก็มีอยู่  เช่น ลม และไฟฟ้า  เราเรียกว่า พลังงานหรือนาม  ทั้งรูปและนาม ทั้งวัตถุ และพลังงานล้วนแต่เกิดขึ้่น ต้ังอยู่ดับไป  เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ตลอดเวลา  อย่าไปยึดถือสิ่งใดว่าเป็นเขาเป็นเราเลย  เราคือเขา  เขาคือเรา เป็นสิงเดียวกัน  แต่ต่างแยกตัวมีอิสระจากกันเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น  ทุกสิ่งเป็นสิ่งเป็นเครื่องเล่นของพระพรหมทั้งสิ้น  พระผู้เป็นเจ้าน้ันเป็นองค์เดียวกัน  ถึงแม้ว่าใครจะเรียกว่า พระพรหม พระนารายณ์ พระอิศวร พระพุทธเจ้า พระเทวาติเทพ พระวิสุทธิเทพ พระอมฤตเทพ พระเทวธิราช พระสยามเทวาธราช แต่พระผู้เป็นเจ้าองค์นี้แหละคือสิ่งสูงสุดมีบรมเดชานุภาพสูงสุดในสากลจักรวาลนี้  เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง  คิดไมถึง  เป็นอจินไตยโดยแท้  เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งในโลกนี้ 

๕๑. ค่าของคนกับรองเท้า

     ในกาลครั้งหนึ่ง  ชายคนหนึ่งได้เดินทางกับภรรยาเพื่อไปเยี่ยมบ้านภรรยายังต่างหัวเมือง   ต้องเดินทางด้วยเท้าผ่านทุ่งและหมู่บ้านชนบทไปไกล   เป็นหนทางหลายพันโยชน์  ระหว่างที่เดินทางไปนั้น  ฝนตกใหญ่พื้นดินในทุ่งนาเป็นโคลนเลน  รองเท้าที่ชายคนน้ันสวมไปจึงใช้สวมไม่ได้  จำเป็นต้องถอดรองเท้าหิ้วไป  เมื่อผ่านไปยังบ้านแห่งหนึ่งชายผู้นั้นจึงแวะเข้าไปบ้านชาวชนบทนั้น  ขอฝากรองเท้าคู่นั้นไว้  ชายชาวชนบทก็ยินดีรับฝากไว้ด้วยดี 
     เมื่อเดินทางไปอีกระยะหนึ่งก็เกิดเคราะห์ร้าย  ภรรยาของชายคนน้ันก็ถูกงูเห่ากัดตายระหว่างทาง   ชายคนนั้นจีงมีความรักความอาลัยภรรยามาก  แต่ไม่มีเครื่องมือจะทำการฝังศพภรรยาได้  จึงแบกศพของภรรยาเดินกลับมายังบ้านชาวชนบทคนนั้น   ออกปากว่าขอฝากศพภรรยาไว้สักคืนหนึ่ง  จะเดินทางกลับไปบอกญาติพี่น้องมาจัดการศพภรรยาวันพรุ่งนี้  จะทิ้งศพภรรยาไว้ในป่าก็เกรงเสือจะมากินศพภรรยาเสีย   แต่ชายชาวชนบทน้ันปฎิเสธไม่ยอมรับฝากศพพภรรยาของชายคนน้้นไว้ในบ้านของตน   จะแค่นอย่างไรจะจะจ้างวานอย่างไร  จะสัญญาให้เงินค่าเฝ้าศพเท่าไร  ชายชาวชนบทคนน้ันก็ไม่ยอมรับฝากศพเป็นอันขาด   ชายคนนั้นจำต้องแบกศพภรรยาเดินทางกลับบ้านด้วยความลำบาก  หนักเข้าทนไม่ไหวและศพนั้นก็เริ่มเน่ามีกลิ่นเหม็น   ชายผู้นั้นก็จำต้องทิ้งศพภรรยาไว้ที่ชายป่าน้้น 
     เมื่อจะจากศพภรรยาไป  เขาก็พูดรำพึงขึ้นว่า "น้องคนงามสุดที่รักของพี่เอ๋ย  เมื่อน้องยังมีชีวิตอยู่  รูปร่างหน้าตาก็โสภาเพียงบาดใจตาย  แต่เมื่อน้องตายแล้วซากศพของน้องก็เน่าเหม็น  จะฝากใครไว้ก็ไม่มีใครรับฝาก  ช่างมีค่าน้อยกว่ารองเท้าเก่าๆ คู่หนึ่งเสียอีกหนอ"
     นิทานเรื่องนี้  เรื่องธรรมดาของโลกสอนให้ชายผู้นั้นเห็นว่า  ร่างกายของคนเมื่อตายแล้วน้ัน  มีค่าน้อยกว่ารองเท้าคู่หนึ่งเสียอีกเล่า 

๕๒. แมวขี้แล้วกลบ
     
     หมาน้อยตัวหนึ่งมันเป็นหมาวัด  มันเดินไปมาในบริเวณวัดแห่งนั้น  คร้ันมันรู้สึกปวดท้อง  จึงโก่งก้นถ่ายอุจจาระแล้วก็เดินต่อไป  พบแมวตัวหนึ่งกำลังใช้เท้าคุ้ยทรายกลบอะไรอยู่  กลบไม่มิดก็คุ้ยดินกลบอีก   แล้วดมพิสูจน์กลิ่นดูเมื่อดินกลบมิดแล้ว  มันจึงหันกลับมาพบหมาน้อยกำลังจ้องมองอยู่ มันจึงถามว่า 
     "แกจ้องดูอะไร ?"
     "ข้าดูว่าแกกำลังคุ้ยดินกลบอะไรอยู่   แกจับหนูได้แล้วกินไม่หมด  จึงคุ้ยดินกลบซ่อนไว้ใช่ไหม่ล่ะ"
     "ใครว่า ข้ากลบขี้่ต่างหาก"
     "กลบขี้ของใคร ?"
     "กลบขี้ของข้่าเองแหละ"
     "อ๋อ  นี่เอ็งขี้แล้วต้องกลบด้วยหรือ ?"
     "ใช่แล้ว  เป็นนิสัยของแมวทุกตัว"
     "นี่ข้าถามจริงๆเถอะ"
     "ถามว่าไง ?"
     "ถามว่าเจ้ากลบขี้ทำไม"
     "อ้าว  ก็ขี้มันเหม็น สัตว์อื่นก็เหม็น เมื่อขี้แล้วก็ต้องกลบไม่ให้ส่งกลิ่นเหม็นน่ะซิ"
     "ถ้าไม่กลบจะเกิดอะไรขึ้น?"
     "ถ้าไม่กลบ ข้าก็กลายเป็นหมาเหมือนแก   แกก็รู้อยู่แล้วว่าหมาอย่างพวกแกไม่เกลียดขี้   แต่ว่าแมวอย่างเราเกลียดขี้"
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า สัตว์ที่มีนิสัยสะอาดน้ันย่อมเกลียดสิ่งสกปรกฉันใด  เหมือนคนดีย่อมเกลียดความชั่วฉันนั้น 

      

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2558

นิทานธรรมดาโลก (๑๖)


๔๗. คนย้อมแมวขาย

     ยังมีกระทาชายนายหนึ่ง  เป็นคนชอบเลี้ยงแมว  แต่เป็นคนทุจริตประเภทฉลาดแกมโกง  เมื่อรู้ว่าคนโบราณพูดกันว่า "แมวสามสีมีโชค ใครเลี้ยงไว้จะนำโชคมาให้"  แต่แมวสามสีมักจะเป็นแมวตัวเมียเสียร้อยละร้อย จะหาแมวตัวผู้สามสีไมมีเจอะเจอเลย  เขาจึงคิดวิธีทำให้แมวตัวผู้มีสามสีขึ้นมาได้  โดยเอาแมวตัวผู้สองสีมาแต้มสีเข้าอีกสีหนึ่ง  เช่นแมวสีดำขาว  เขาก็เอาสีเหลืองมาแต้มจุดเข้าตรงหู  หาง  หรือ ขาข้างใดข้างหนึ่งให้เป็นแมวสามสี  แล้วก็ขายแมวได้ราคาแพง  เมื่อคนซื้อไปเลี้ยงไว้สักระยะหนึ่ง สีที่แต้มจางหายไป มาต่อว่าเขา เขาก็จะตอบบ่ายเบี่ยงว่าเป็นคนไม่มีบุญ  ไม่มีโชค หรืออับโชคเลี้ยงแมวไม่ขึ้น  แมวสามสีจึงกลายเป็นสองสีภายหลัง 
     เพราะเหตุทึ่คนไทยเป็นคนเชื่อมงคลตื่นข่าวตามคำโบราณว่า " เจ๊กตื่นไฟ ไทยตื่นข่าว  สาวตื่นผี และในโลกนี้มีคนโง่มากกว่าคนฉลาด"คนโง่จึงตกเป็นเหยื่อของคนฉลาดตลอดมา  ชายคนนี้จึงมีอาชีพ ย้อมแมวขายได้เรื่อยๆมา แม้จะมีคนบางคนฉลาดรู้ทัน ต้ังสมญาว่า "คนย้อมแมวขาย"  แต่ก็ยังมีคนหลงเชื่ออยู่เรื่อยมา
     อยู่มาวันหนึ่ง  ก็เกิดมีคนดีขึ้นมาแก้มือชายย้อมแมวขาย  โดยได้มาดูแมวที่บ้านชายคนนี้แล้วก็บอกว่า มีแมวที่บ้านเกิดใหม่ครอกหนึ่ง มี ๕ ตัวล้วนแต่สามสีทุกตัว  โบราณว่าแมวห้าหมาหกห้ามเลี้ยง  จึงขอให้ไปดู ถ้าชอบใจจะขายให้ทั้ง ๕ ตัว  เป็นการล้างซวย  ชายย้อมแมวขายจึงไปดูแมวสามสี  ๕ ตัวที่บ้านชายคนน้ันก็เห็นว่า เป็นแมวสามสีจริง  ชายคนนี้ก็ไม่มีอาชีพย้อมแมวขาย จึงดีใจกะว่าจะได้กำไรมาก  จึงขอซื้อมาด้วยราคาแพงถึงตัวละชั่ง  หวังจะเอามาขายได้ตัวละหลายชั่งให้บ้านเศรษฐีทั้งหลายที่ชอบเลี้ยงแมว  เมื่อเลี้ยงไว้ด้วยความทนุถนอมจนโตขึ้นสีก็จางหายไปทุกที  ค่าที่ตัวเองเคยประพฤติทุจริตหลอกย้อมแมวขายมามาก  ก็นึกในใจว่าหนนี้ตัวเราโดนหลอกย้อมแมวขายบ้างแล้ว  แต่ใจหนึ่งก็นึกไปถึงบาปกรรมที่เคยหลอกย้อมแมวขายมามากแล้ว  คงจะมีเหตุอันเป็นให้แมวสามสีจริงๆ กลายเป็นสองสีไปเสียได้ดังนี้  ก็ได้แต่นิ่งเฉยอยู่  ไม่กล้าไปต่อว่าชายคนน้ัน เพราะใจหนึ่งก็นึกอายเขาที่ตนเสียรู้เขาเสียแล้ว  เสียแรงเป็นผู้เชี่ยวชาญในการดูแมวกลับถูกคนตบตาได้  กลัวข่าวจะอื้ออึงไปให้คนอื่นรู้จึงเก็บความลับน้ันไว้ต่อมา  โดยเสียเงินค่าซื้อความรู้มาถึง ๕ ชั่งเจ๋ง ๆ มิหนำซ้ำชายคนขายแมวยังติดตามมาดูแมวของตนแล้วก็บ่นว่า ชายคนย้อมแมวขายนี้เห็นจะโชคไม่ดีเสียแล้ว  แมวจึงกลายจากสองสีเป็นสองสีได้เช่นนี้
     "ครับ ผมนะโชคไม่ดีด้วย  ตาไม่ดีด้วย  แล้วใจก็ไม่ดีมาแต่เดิมด้วย มันจึงเป็นเช่นนี้"  ชายย้อมแมวขายพูดอย่างไว้เชิงและปลงตก
     นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า  เมื่อหลอกเขาได้เราก็ย่อมจะถูกหลอกได้เหมือนกัน 
๐๐๐๐๐๐๐๐

๔๘. หนอนแก้วออกลูก

     หนอนชนิดหนึ่ง คนเรียกชื่อกันต่างๆ บ้างก็เรียกว่าหนอนแก้ว  ด้วยสีเขียวเหมือนใบไม้ มีขาเกาะคลานไปตามกิ่งไม้ใบไม้ได้  ชอบเกาะอยู่ตามต้นส้ม  มันมีหนวดสีเหลือง  ขนาดตัวมันยาวประมาณ ๑ นิ้วฟุต มันชอบกินใบอ่อนของต้นส้ม
     ครั้งหนึ่งเจ้าหนอนแก้วสีเขียวมันเกาะอยู่ที่กิ่งส้ม  มันถึงคราวจะต้องมีลูกสืบพันธุ์ต่อไปมิให้สูญพันธุ์  มันจึงเตรียมการออกไข่ของมันตามธรรมชาติของหนอนแก้ว  
     วันหนึ่งมันพบแมลงผึ้ง ซึ่งบินมาดูดกินดอกส้ม  มันจึงถามว่าแมลงผึ้งอย่างพวกท่านออกไข่ไว้ที่ไหน ?
     ผึ้งตอบว่า เราไม่ต้องออกไข่เองหรอก  แต่เรามีแม่นางพญาผึ้งใหญ่อ้วน มีไข่หลายพันหลายหมื่น  นางพญาผึ้งมีหน้าที่ออกไข่  ติดไว้ตามช่องในรวงผึ้ง ซึ่งทำด้วยน้ำตาลอ่อนหวาน  ตัวผึ้งอ่อนๆก็ย่อมกินน้ำผึ้งอยู่ในรังจนเติบโต  ไม่ต้องอนาทรร้อนใจอันใดเลย  เพราะมีผึ้งงานหรือผึ้งกรรมกรอย่างพวกเรา  มีหน้าที่หาอาหารจากเกสรดอกไม้ไปสร้างรวงรัง  และทำน้ำหวานอยู่ตลอดเวลา 
     เจ้าหนอนแก้ว ได้ฟังแล้วก็มิได้ว่าอย่างไร  เพราะคิดไม่เห็นว่าการออกไข่ฟักไข่ของแมลงผึ้ง ทำไมจึงวิจิตรพิศดารดังน้ันหนอ 
     ต่อมาเจ้าหนอนแก้ว ได้พบแมลงวัน บินมาเกาะกิ่งส้มมันจึงถามว่า แมลงวันออกไข่ไว้ที่ไหน
     แมลงวันตอบว่า ไม่ยากเย็นอะไร เราหากินตามมูลสัตว์ที่ถ่ายทิ้งไว้  แล้วเราก็ไข่ฝากไว้ตามมูลสัตว์น้ัน เมื่อไข่ของเราออกมาเป็นตัวหนอน  ก็กินอาหารจากมูลสัตว์น้ันจนเติบโต  เป็นตัวแมลงวันได้  ไม่ต้องวิตกห่วงใยเลี้ยงดูอะไรเลย 
     เจ้าหนอนแก้วฟังแล้วก็นึกในใจว่า  เราจะทำมักง่ายอย่างเจ้าแมลงวันก็ไม่ได้  เพราะเรามิใช่แมลงวัน  เราต้องทำตามวิถีชีวิตของหนอนแก้ว ที่ทำมาแต่ต้นตระกูลของเรา ที่พระผู้เป็นเจ้าได้สร้างชีวิตของเรามา 
     คิดแล้วมันก็กินใบส้มอ่อนผสมน้ำลาย แล้วคายออกมาติดกับกิ่งส้ม  พยายามกินใบส้มแล้วเคี้ยวคายเมือกออกมา ต่อเติมเป็นรูปตัวหนอนแก้ว ต่อแต้มตีนและหนวดจนเหมือนร่างกายของหนอนไม่มีผิดทุกส่วนสัด แม้แต่หนวดก็แต้มสีเหลืองไว้ที่ปลายหนวด   เสร็จแล้วมันเจาะช่องเข้า เริ่มออกไข่ฝากไว้ในตัวหนอนแก้วจำลองที่มันสร้างไว้แทนตัว  ให้กกไข่แทนมัน  เมื่อหนอนแก้วเติบโตก็กัดกินรังมันเป็นอาหารจนเติบโตเป็นตัวหนอนแก้วเต็มที่แล้ว  ก็กลายออกมาเป็นตัวหนอนแก้วอีกตัวหนึ่ง  ทิ้งซากหนอนแก้วที่แม่มันสร้างไว้กับกิ่งส้มนั้น
     นิทานเรื่องนี้  เป็นนิทานเรื่องจริงของหนอนแก้ว  เพื่อสอนให้รู้ว่า บรรดาสัตว์น้อยใหญ่ที่เกิดมาในโลกนี้ ย่อมมีวิถีชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายไปตามธรรมชาติของมัน  ตามที่พระพรหมได้สร้างมันขึ้นมา มันย่อมจะปฎิบ้ติตัวไปตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติของมันไม่เคยเปลี่ยนแปลง และไม่มีสัตว์ต่างชนิดคิดเอาแบบอย่างไปประพฤติได้เลย 
๐๐๐๐๐๐๐๐

๔๙. แมงเม่าบินเข้ากองไฟ

     ยังมีมดปลวกจำพวกหนึ่ง  ตัวเล็ก ลำตัวสีขาว  นิ่มๆ อยู่กันเป็นหมู่เหล่า มีตึกรามบ้านเรือนสร้างอยู่อาศัยอย่างเป็นระเบียบแบบแผน  มีที่นอนที่เก็บอาหารพร้อม  แบ่งออกเป็นห้องเป็นตึกอยู่กันอย่างเป็นระเบียบแบบแผน  เป็นบ้านเป็นเมืองอันวิจิตรพิศดาร
     เมื่อมดปลวกจำพวกนี้มีความสุขความเจริญเต็มที่แล้ว  มันก็จะเริ่มมีลำตัวอ้วนโตขึ้นกว่าเดิมประมาณ ๕ เท่าตัว   แล้วมีปีกงอกขึ้น พร้อมที่จะบินโลดโผนขึ้นสู่อากาศ เหมือนสัตว์มนุษย์ที่เจริญสูงสุดแล้วก็สร้างเครื่องบินร่อนไปในอากาศได้ฉะนั้น 
     คร้ันฝนตกฝนแรก  เปียกดินปลวกรังของมัน  มันก็รู้ว่าฝนตกแล้ว  มันก็พากันออกจากรังของมัน  แล้วออกบินโลดขึ้นไปได้เหมือนสัตว์ปีกอื่นๆ ในโลก  แต่เพราะมันไม่เคยชินกับชีวิตการมีปีกบิน แล้วมันก็ไม่รู้ว่าจะบินไปไหน เพื่อไปทำอะไรต่อไป เพียงแต่รู้ตัวว่ามันมีฤทธิ์เดช มีพละกำลังบินขึ้นไปได้  ซึ่งมันไม่เคยคิดไม่เคยทำมาก่อน มันจึงมีความดีใจ ออกบินไปตามกำลังปีกของมัน เมื่อมันเห็นแสงไฟสว่างจ้าอยู่ข้างหน้า มันก็เกิดความสนุกสนานยินดี จะได้เล่นกับแสงไฟอันสุกสว่างสวยงามประหลาดตาน้ัน มันจึงบินเข้าไปแล้วก็ถูกความร้อนของไฟไหม้ปีกมันตกลงมาตายเสียมากต่อมาก ที่ถูกฝนเปียกปีกหลุด ตกลงมาสู่พื้นดินก็มีมาก มันจึงเดินตามกันไปเป็นแถว เข้ารังเดิมของมันไม่ถูก ได้แต่เดินเปะปะไป ถูกสัตว์อื่นกินเสียบ้าง ถูกสัตว์อื่นเหยียบตายเสีย ไม่มีมดปลวกมีปีกมีฤทธิ์บินเหาะเหิรเดินอากาศได้ตัวใดเลย  ที่จะกลับรวงรังไปมีชีวิตอยู่เหมือนเดิม เพราะใจมันแตกผิดแปลกจากมดปลวกธรรมดาเสียแล้ว
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า สัตว์โลกที่เจริญถึงขีดสูงสุด  ย่อมจะพาชีวิตไปสู่ความวิบัติ ไม่อาจจะกลับคืนมีชีวิตเหมือนสัตว์ประเภทเดิมได้อีกเลย  ความเจริญถึงขีดสูงสุดของสัตว์ย่อมเป็นเครื่องทำลายสัตว์โดยแท้  แม้แต่มนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์อันประเสริฐ ก็ไม่พ้นความสัจจริงข้อนี้เลย  เมื่อมีชีวิตรุ่งเรืองสูงสุดแล้ว  ก็หลงระเริงไป จนเกิดความวิบัติแก่ตนเอง และวงศ์ตระกูล
๐๐๐๐๐๐๐๐