๖๑. ไข่เองกะเติ๊กเอง
ไก่ตัวเมียตัวหนึ่งเจ้าของเลี้ยงไว้กับเป็ดตัวเมียตัวหนึ่ง จนเติบโตเป็นสาวทั้งคู่ ครั้นถึงเวลาออกไข่แม่ไก่ก็ขึ้นไปออกไข่อยู่บนรังไก่ที่เจ้าของทำไว้ พอไก่ไข่ออกมาแล้วมันก็ลุกขึ้นร้องออกมาว่า
"กระต๊าก ออกแล้ว ออกแล้ว ออกแล้ว" ส่งเสียงดังลั่นไปทั้งบ้าน แล้วจึงกระโดดลงมาหากินต่อไป
เมื่อแม่เป็ดพบหน้าแม่ไก่จึงร้องถามว่า
"เจ้าส่งเสียงร้องทำไมว่าออกแล้ว ออกแล้ว"
"ดีใจ"
"ดีใจทำไม ดีใจทำไมกับการออกไข่" แม่เป็ดถาม
"ดีใจว่าในไม่ช้าเรากกไข่ไม่กี่วันลูกเจี๊ยบก็จะออกมา เราจะได้เป้นแม่ไก่เจี๊ยบน้อยๆ ของเรา เราจะได้พาลูกเจี๊ยบของเราไปคุ้ยเขี่ยหากินแล้วกกเขาให้อบอุ่น เราก็อบอุ่นด้วย"
"อ๋อ ดีใจที่จะได้มีลูกได้กกลูก ได้เลี้ยงลูกใช่ไหม"
"ใช่แล้ว เป็นธรรมดาของแม่ ย่อมดีใจที่มีลูก ได้เห็นหน้าลูก จึงมีความสุขอย่างแปลกประหลาดที่สุด ที่มีลูกเป็นของเรา เราได้เลี้ยงดูเขาเราได้มีเพื่อนชีวิต"
แม่เป็ดยืนฟังอยู่เงียบๆ
"ท่านล่ะ เวลาไข่ออกมาก็เงียบๆ ไม่ดีใจมั่งเลย ไม่ตื่นเต้นบ้างเลยหรือ ไม่เห็นส่งเสียงร้องเพลงแสดงความดีใจเลย"
"เราไม่ตื่นเต้นยินดีอะไร เราไข่ออกมาแล้วเราก็ไม่ได้กกไข่ เราไม่ได้เลี้้ยงลูกเป็ด เจ้าของบ้านเขามาเก็บไข่เราไปจนไม่เหลือเลย เราไม่เคยเห็นหน้าลูกเป็ดเล็กๆ ของเราเลย เราชินชาเสียแล้ว เราไม่รู้สึกอะไร เราจะตื่นเต้นยินดีเพื่ออะไรกันเล่า"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เพราะแม่พ่อได้เลี้ยงลูก จึงรักลูก แม่จึงดีใจเมื่อลูกเกิดมา พ่อก็ดีใจที่เห็นหน้าลูกน้อยๆ ทั้งแม่และพ่อย่อมรักลูกเพราะได้เลี้ยงดูอุ้มชูกันมาแต่ตีนเท่าฝาหอย ลูกจึงเท่ากับเป็นทรัพย์ ธรรมชาติของแม่และพ่อที่ได้สร้างขึ้นมาและทนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมา พ่อแม่ที่ไม่เคยมีลูกไม่เคยเลี้ยงลูกก็คงไม่รักลูก เปรียบเหมือนเป็ดต่างกับไก่ฉนั้น
๖๒. นกต้อยดีวิด
นกต้อยดีวิดตัวหนึ่ง เมื่อถึงฤดูออกไข่มันก็บบินไปตามพงหญ้ารกที่อยู่ตามท้องนาในที่โล่งๆ และที่เปลี่ยวห่างไกลจากคนและสัตว์ที่จะมาทำอันตรายไข่ของมัน มันไข่ซ่อนไว้ในพงหญ้า คาบเอาหญ้าแห้งหญ้าสดมาปกปิดไข่ไว้อย่างมิดชิด แล้วออกมาหากินแล้วก็บินมากกไข่ของมัน ฟักออกมาเป็นลูกนกต้อยตีวิดตัวน้อยๆ แต่มันสอนให้ลูกของมันรู้จักที่ซุกซ่อนอยู่ในกอหญ้า นอนนิ่งๆ ไมไหวติงเมื่อคนหรือสัตว์เดินมาใกล้
ครั้นมันเห็นคนหรือสุัตว์จำพวกเหยี่ยวกา เดินหรือบินเข้ามาใกล้ แม่นกต้อยตีวิดจะรีบวิ่งออกไปอีกทางหนึ่ง จนห่างไข่ห่างลูกของมันแล้วก็ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า
"ช่วยชีวิต ช่วยชีวิต"
คนหรือสัตว์ก็จะหันไปมองหรือเข้ามาใกล้ตัวมัน มันก็จะทำวิ่งหนีไปอีก บางทีก็ทำเหมือนปีกหัก บางทีก็ทำเหมือนขาหัก เพื่อจะหลอกล่อให้คนหรือสัตว์เดินตามมันไปจนไกลไข่หรือลูกของมัน ครั้นคนหรือสัตว์เข้ามาใกล้ตัวมัน มันก็จะรีบบินหนีไปโดยเร็ว
เจ้านกฮูก แอบดูอยู่เสมอ วันหนึ่งเจอหน้านกต้อยตีวิด จึงถามว่า
"เราเห็นท่านร้องช่วยชีวิต ช่วยชีวิตอยู่บ่อยๆ แต่ทำไมเจ้ามีปีกบินหนีได้โดยเร็ว จึงไม่เห็นบินหนีกลับวิ่งหนี เดินหนีไปเสียโดยเร็วเล่า?"
"เราห่วงไข่ ห่วงลูกของเรา"
"ท่านไม่กลัวตายหรือ?"
"เรากลัวตายเหมือนกัน แต่เรากลัวไข่กลัวลูกของเราจะได้รับอันตรายยิ่งกว่า"
"ท่านรีบหนีไป ปากก็ร้องว่าช่วยชีวิต ช่วยชีวิต ดังลั่นจะเรียกว่าท่านห่วงลูกรักลูกยิ่งกว่าตัวเองได้อย่างไร เรามองไม่เห็นเลยว่าท่านรักลูกห่วงลูกท่านจริงเหมือนปากว่า"
"ก็เพราะว่า ถ้าเรารักตัวกลัวตายมากกวา่ เราก็จะบินหนึไปโดยเร็วเท่านั้นก็ปลอดภัยแล้ว แตเราเป็นห่วงลูกของเรามากกว่า จึงแกล้งเดินหนีไปปากก็ร้องไปเพื่อให้เขาตามเราไปจนห่างลูกของเราไงล่ะ"
"ท่านทำเป็นปีกหักขาหักเพื่ออะไร"
"เพื่อหลอกลวงให้เขาคิดว่าเราหนีไม่พ้นเขาแน่แล้ว เขาจะได้รีบตามมาจับตัวเรา เราก็วิ่งหนีไปให้ห่างลูกของเราได้ พอเขาเข้ามาใกล้ตัวเราจริงๆ เราก็บินหนึไปโดยเร็ว ลูกของเราก็ปลอดภัยตัวเราก็ปลอดภัย
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เพราะความรักลูกจึงทำให้ลูกปลอดภัย และตัวเองปลอดภัยด้วย นกต้อยตีวิดจึงหลอกคนให้หลงตามมันไปจนห่างลูกของมัน ตามปัญญาของนก
"ช่วยชีวิต ช่วยชีวิต"
คนหรือสัตว์ก็จะหันไปมองหรือเข้ามาใกล้ตัวมัน มันก็จะทำวิ่งหนีไปอีก บางทีก็ทำเหมือนปีกหัก บางทีก็ทำเหมือนขาหัก เพื่อจะหลอกล่อให้คนหรือสัตว์เดินตามมันไปจนไกลไข่หรือลูกของมัน ครั้นคนหรือสัตว์เข้ามาใกล้ตัวมัน มันก็จะรีบบินหนีไปโดยเร็ว
เจ้านกฮูก แอบดูอยู่เสมอ วันหนึ่งเจอหน้านกต้อยตีวิด จึงถามว่า
"เราเห็นท่านร้องช่วยชีวิต ช่วยชีวิตอยู่บ่อยๆ แต่ทำไมเจ้ามีปีกบินหนีได้โดยเร็ว จึงไม่เห็นบินหนีกลับวิ่งหนี เดินหนีไปเสียโดยเร็วเล่า?"
"เราห่วงไข่ ห่วงลูกของเรา"
"ท่านไม่กลัวตายหรือ?"
"เรากลัวตายเหมือนกัน แต่เรากลัวไข่กลัวลูกของเราจะได้รับอันตรายยิ่งกว่า"
"ท่านรีบหนีไป ปากก็ร้องว่าช่วยชีวิต ช่วยชีวิต ดังลั่นจะเรียกว่าท่านห่วงลูกรักลูกยิ่งกว่าตัวเองได้อย่างไร เรามองไม่เห็นเลยว่าท่านรักลูกห่วงลูกท่านจริงเหมือนปากว่า"
"ก็เพราะว่า ถ้าเรารักตัวกลัวตายมากกวา่ เราก็จะบินหนึไปโดยเร็วเท่านั้นก็ปลอดภัยแล้ว แตเราเป็นห่วงลูกของเรามากกว่า จึงแกล้งเดินหนีไปปากก็ร้องไปเพื่อให้เขาตามเราไปจนห่างลูกของเราไงล่ะ"
"ท่านทำเป็นปีกหักขาหักเพื่ออะไร"
"เพื่อหลอกลวงให้เขาคิดว่าเราหนีไม่พ้นเขาแน่แล้ว เขาจะได้รีบตามมาจับตัวเรา เราก็วิ่งหนีไปให้ห่างลูกของเราได้ พอเขาเข้ามาใกล้ตัวเราจริงๆ เราก็บินหนึไปโดยเร็ว ลูกของเราก็ปลอดภัยตัวเราก็ปลอดภัย
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เพราะความรักลูกจึงทำให้ลูกปลอดภัย และตัวเองปลอดภัยด้วย นกต้อยตีวิดจึงหลอกคนให้หลงตามมันไปจนห่างลูกของมัน ตามปัญญาของนก
๖๓. ทุเรียนกับมะม่วง
ลูกทุเรียนกับผลมะม่วงถูกแม่ค้านำไปวางขายไว้เคียงกันที่ตลาดขายผลไม้แห่งหนึ่ง เมื่อทุเรียนกับมะม่วงอยู่ใกล้ชิดกัน มันจึงทักทายทำความรู้จักกัน แล้วคุยกันแก้รำคาญที่ต้องอยู่เฉยๆ
มะม่วงสาวผิวผ่องใส มองเห็นผิวทุเรียนขรุขระ น่าเกลียดน่าชังเหมือนยายแก่จีงร้องถามว่า
"นี่ยายมาจากไหนนี่ละจ๊ะ?"
"มาจากเมืองนนท์"
"ยายชื่ออะไรล่ะยายจ๋า?"
"ชื่อน่ะหรือเขาเรียกฉันว่าทุเรียนจ๊ะ"
"แปลว่าอะไรละยาย ชื่อนี้มีความหมายว่ายังไงจ๊ะยาย"
"แปลว่า รูปชั่ว ทุแปลว่าชั่ว เรียนแปลว่ารูปร่าง แบบอย่าง รวมความว่ารูปร่างขี้ริ้วขี้เหร่ รูปชั่วตัวดำน่ะแหละจ๊ะ" ทุเรียนตอบอย่างใจดี แล้วก็ถามมะม่วงว่า
"แม่หนูล่ะ มาจากไหน?"
"มาจากเมืองเพชรจ๊ะยาย หนูอยู่เมืองเพชร"
"ชื่ออะไรล่ะ"
"ชื่อมะม่วงจ๊ะยาย"
"แปลว่าอะไรจ๊ะ"
"แปลว่าสวยงามเหมือนผ้าม่วงที่คนนุ่งห่มน่ะแหละ เขาเรียกชื่อตามผิวพรรณของหนูจ๊ะ"
"เนื้อหนังของแม่หนูคงดีนะจ๊ะ?"
"หวานอร่อยเชียวแหละยาย เขาจึงเอาหนูมาขายอยู่นี่ไงล่ะยาย"
"เขาตีราคาหนูเท่าไรล่ะ?"
"เขาตีราคาหนูลูกละ ๒ บาท ถึง ๕ บาท แล้วแต่คนซื้อ"
"แหม รูปร่างหน้าตาดี แต่ราคายังน้อยนะ"
"เอ๊ะ หนูว่าหนูมีราคาสูงมากนะยาย แล้วยายล่ะเขาขายยายเท่าไรล่ะ"
"ไม่แน่หรอก บางทีก็ ๕๐ บาท บางทีก็ ๑๐๐ บาท สุดแล้วแต่กาละและบุคคลซื้อ"
"แหม ยายนี่รูปชั่วตัวดำ แต่ราคาดี มีค่ามากจัง"
"มันก็อยู่ที่คุณค่า มันอยู่ที่รสชาติ มันอยู่ที่คนเขาต้องการหรอกจ๊ะ"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น