๗๐. นกกระจาบทำรัง
นกกระจอกตัวหนึ่ง มันบินไปเกาะกิ่งไม้ต้นหนึ่ง พบสิ่งแปลกประหลาดไม่เคยเห็นมาก่อน มันจึงจ้องดูด้วยความสนใจ สักครู่หนึ่งก็มีนกกระจาบตัวหนึ่งบินออกมาจากสิ่งนั้น นกกระจอกจึงถามว่า ท่านบินมาจากที่ไหน เมื่อกี้นี้เรามองไม่เห็นท่านเลย นกกระจาบตอบว่าเราอยู่ในรังของเราที่สร้างแขวนไว้ที่กิ่งไม้น้ัน นกกระจอกก็เพ่งมองไปที่รังของนกกระจาบ ถามว่านี่รังของท่านหรือ นกกระจาบตอบว่า ใช่แล้ว นกกระจอกถามว่า ท่านสร้างรังไว้ทำไมสวยงามวิจิตรพิสดารดังนี้ นกกระจาบตอบว่าเราสร้างไว้ให้นกตัวเมียออกไข่แล้วกกลูกอยู่ในรังนี้ด้วยความอบอุ่นและปลอดภัยไม่ถูกลม ไม่ถูกฝน ไม่ถูกแดด และไม่ถูกกาเหยี่ยวมาเฉี่ยวกิน ท่านเล่าทำรังไว้อย่างไร นกกระจอกตอบว่า เราไม่ต้องลำบากลำบนอะไร เราดูตามบ้านเรือนของคนเห็นมีช่องมีรูที่ไหนเหมาะๆ เราก็คาบเอาใบไม้ไปรองไว้ ให้ตัวเมียออกไข่ได้อย่างปลอดภัยเหมือนกัน กาเหยี่ยวไม่กล้าเข้าไปรบกวนอะไร เพราะกลัวคนเจ้าของบ้านหรือรังนอนของคน ชีวิตเราก็ปลอดภัยไข่และลูกของเราก็ปลอดภัยดี
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า สัตว์น้อยใหญ่ทุกชนิด ย่อมมีปัญญารักษาตัวให้รอดปลอดภัยตามสมควรแก่อัตภาพ จึงสืบพันธุ์อยู่ได้ในโลกอันมีศัตรูรอบตัวนี้ได้ตลอดมา
๗๑. แมงมุมชักใย
แมงมุมตัวหนึ่งมันชักใยขวางไว้เป็นตาข่ายดักสัตว์ ขึงไว้ระหว่างช่องหน้าต่างบ้านแห่งหนึ่ง ชักใยไว้เสียดิบดีแล้วก็แอบไปจับสายใยซุ่มอยู่ พอสายใยสั่นยวบยาบมันก็รู้ว่ามีสัตว์น้อยมาติดตาข่ายแมงมุมเข้าแล้ว มันก็วิ่งปราดไปตามสายใยนั้นทันที แลเห็นแมลงชีผ้าขาวติดอยู่จึงร้องขู่ว่า
"เฮ้ยเจ้าสัตว์น้อยหน้าโง่ เหตุไฉนเอ็งจึงบินล่วงล้ำอธิปไตย ผ่านด่านแดนอาณาเขตของเราเข้ามาโดยไม่กลัวเกรงอาญาแผ่นดินของเรา เอ็งมีความผิดถึงขัันประหารชีวิตรู้ไหม"
"เจ้าจงมาให้เราฆ่ากินเนื้อเสียโดยดี"
"เราบินมาตามทางของเรา ท่านต่างหากเล่าที่มาขึงใยขวางทางเดินของเรา" ชีผ้าขาวเถียง
"เอ็งก็เห็นแล้วว่า ข้าขึงเส้นเขตแดนของข้าไว้ เอ็งล่วงล้ำเขตแดนของข้าเข้ามาโดยไม่ขออนุญาต เอ็งย่อมมีความผิดอย่างฉกรรจ์มหันตโทษ มีความผิดต้องประหารชีวิตเสีย"
"เหตุไฉนท่านจึงไม่บอกเตือนก่อนเล่า?"
"ข้าไม่มีหน้าที่เที่ยวบอก เที่ยวเตือนใคร ขืนบอกขืนเตือนก่อน ก็ไม่มีใครเข้ามาติดตาข่ายของข้า"
ยังไม่ทันที่ตัวแมลงชีผ้าขาวจะโต้ตอบประการใด เจ้าแมงมุมก็เข้าตะครุบกัดคอแมลงชีผ้าขาวเคี้ยวกินเสียเป็นอาหารอันโอชาา
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ผู้มีอำนาจพูดอะไรก็เป็นกฎหมาย ไม่มีผู้น้อยคนใดจะโต้เถึยงได้เลย
๗๒. ค้างคาวห้อยหัวนอน
นกฮูกตัวหนึ่ง มันบินหลงทางเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งมีค้างคาวจับชะง่อนหินในถ้ำนอนอยู่เป็นทิวแถว มันเพ่งมองด้วยความแปลกประหลาดใจที่เห็นค้างคาวทุกตัวห้อยหัวนอน เอาตีนเหนี่ยวเพดานถ้ำไว้ มันจึงกระซิบถามค้างคาวตัวหนึ่งว่า
"เหตุไฉนท่านจึงห้อยหัวนอนเช่นนี้เล่า?"
"ก็เพราะเรานอนอยู่ในที่สูง เราจึงต้องมองดูว่าข้างล่างจะมีเภทภัยอันใดมากร้ำกรายทำอันตรายเรา เราจึงต้องห้อยหัวลงคอยมองดูภัยจากเบื้องล่าง"
"ภัยจากเบื้องบนไม่มีเลยหรือ?"
"ภัยจากเบื้องบนไม่มี เพราะเป็นเพดานถ้ำ ข้างบนปลอดภัยมีแต่ภัยจากเบื้องล่าง"
นกฮูกได้ฟังก็นึกถึงตนเองที่จับคอนกิ่งไม้ซ่อนอยู่ตามพุ่มไม้ มีภัยจากเบื้องบน เบื้องล่าง หน้าหลังรอบทิศ จึงต้องจับกิ่งไม้นอน เพื่อระวังภัยรอบทิศทาง
วันหนึ่งนกฮูกเห็นโขลงช้างป่ายืนอยู่เป็นฝูงในเวลากลางคืน มันจึงบินไปกระซิบถามช้างข้างๆ ใบหูช้างว่า
"พ่อช้างตัวใหญ่ เหตุไฉนท่านจึงไม่นอนหลับบ้างเล่า เห็นยืนอยู่ทั้งคืน"
"เรายืนหลับ เราไม่นอนหลับ เป็นธรรมชาติของเราซึ่งเป็นสัตว์ใหญ่ ลุกขึ้นยืนได้ช้า เมื่อมีภัยอันตรายมาสู่เรา เราจึงยืนหลับ เราไม่ยอมนอนหลับเลยตลอดชีวิต"
วันหนึ่งนกฮูกออกหากินกลางคืน เข้าไปถึงคอกควายแห่งหนึ่ง เห็นควายนอนอยู่ในคอกมันจึงเข้าไปถามว่า
"ท่านนอนหลับตาอยู่เช่นนี้ ท่านไม่กลัวภัยอันตรายอะไรบ้างหรือ?"
ควายตอบว่า
"เราจะต้องกลัวภัยอันตรายอะไรอีกเล่า ก็เรานอนอยู่ในคอกล้อมทั้ง ๔ ทิศ ประตูคอกก็ปิดไว้แน่นหนา
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า สัตว์ทั้งปวงย่อมรู้ตัวว่ามีภัยอันตรายอย่างไร จะป้องกันภัยอย่างไรด้วย อย่านึกว่าควายโง่กว่าสัตว์อื่น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น