๕๘. กบเกิดในสระจ้อย
กบตัวหนึ่งมันเกิดและเติบโตในสระอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง มันแหวกว่ายหากินอยู่ในสระแห่งนั้นจนเป็นหนุ่ม เวลาฝนตกมันก็ส่งเสียงร้องเรียกหาคู่ คร้ันมันได้ยินเสียงกบสาวมันก็แหวกว่ายน้ำไปหายังฝั่งตรงข้าม มันรู้สึกว่าสระน้ำนั้นช่างกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก กว่าจะว่ายน้ำข้ามไปพบกบสาวได้ก็แสนไกลแสนเหนื่อย มันพบว่าสระแห่งนี้มีปลานานาชนิดทั้งปลาน้อยใหญ่ มีเพื่อนกบ คางคก เขียด มากมาย มันมิได้อยู่ตัวเดียวเท่านั้น มีเพื่อนสัตว์มากมายจนไม่รู้ว่าเป็นสัตว์อะไรบ้าง
วันหนึ่งฝนตกใหญ่มีพายุแรงมาก น้ำท่วมท้นไปทั่ว จนไม่รู้ว่าฝั่งสระอยู่ทีไหน ต้นไม้ใบหญ้าก็ถูกพายุพัดพาไป สัตว์ทุกตัวก็ถูกพายุพัดสู่แม่น้ำอีกแห่งหนึ่ง ครั้นฝนซาเม็ดลงแล้วมันก็รู้สึกว่ามันมาอยู่ในสายน้ำแห่งใหม่ ยังได้พบสัตว์แปลกหน้าตัวหนึ่งแหวกว่ายมาใกล้ๆมัน มันจึงร้องถามว่า
"ท่านชื่ออะไร อยูที่ไหน?"
"เราชื่อเต่า อยู่ในแม่น้ำแห่งนี้"
"แม่น้ำหรือ กว้างใหญ่มากไหม"
"โอ กว้างใหญ่แล้วยาวไม่รู้เท่าไร เราอยู่มาจนตลอดชีวิตตั้งแต่ต้นน้ำ นี่แก่อายุเกือบร้อยปีแล้ว ยังไม่ออกปากน้ำเลย"
กบได้ฟังดังนั้นมันก็รู้สึกตัวว่าสระน้ำที่มันอาศัยนัน เคยคิดว่ากว้างใหญ่ไพศาลนักหนา แต่ก็กว้างใหญ่ไม่ถึงหนึ่งในร้อยของแม่น้ำสายนี้ มันรู้สึกว่าตัวของมันเล็กกะจ้อยร่อยลงไปทันที
นืทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า บางทีเรานึกว่าเรารู้อะไรมากมาย เพราะเราไม่รู้ไม่ได้พบเห็นอะไรที่มากกว่า
๕๙.ทัพพีตักแกง
ทัพพีอันหนึ่ง ที่แม่ครัวในครัวเรือนแห่งหนึ่งใช้ตักแกงมาช้านาน แม่ครัวรุ่นแม่ตายไปแม่ครัวรุ่นลูกก็ใช้ต่อมา แม่ครัวรุ่นลูกตายไปแม่ครัวรุ่นหลานก็ใช้มันต่อมา นับเป็นเวลาช้านานถึงสามชั่วคนแล้ว มันจึงเป็นทัพพีที่มีอายุมากเต็มที แต่มันเป็นทัพพีที่แข็งแรงดีจึงยังไม่ชำรุดบุบสลายไป
วันหนึ่งแม่ครัวเกิดอารมณ์โกรธลูกสาวของตัว จึงตำหนิติโทษด่าว่าต่างๆ นานา ลงท้ายก็พูดว่า "เอ็งน่ะโง่นักไม่รู้จักจดจำคำสั่งสอนของแม่ สอนเท่าไรก็ไม่จำทำตัวเหมือนทัพพีตักแกงอันนี้ ตักแกงมาไม่รู้กี่สิบปี ก็ไม่รู้รสแกง"
ลูกสาวได้ฟังก็เถียงแม่ว่า
"แม่เอาอะไรมาพูดไม่รู้ ก็ทัพพีมันมีลิ้นที่ไหนล่ะ มันจะรู้รสแกงได้ยังไงล่ะ?"
ครั้นแม่ได้ฟังลูกสาวเถียงดังน้ันจีงร้องถามว่า
"แล้วเจ้าล่ะ มีหู มีตา มีจมูก มีลิ้น มีปากเหมือนแม่ทุกอย่างทำไมแม่สอนให้ทำแกงเจ้าจึงไม่รู้จักทำ ?"
"แม่รู้หรือเปล่าว่าหน้าที่กับความจำเป็นมันทำให้คนต้องทำ เมื่อต้องทำอะไรก็ต้องเรียนรู้ต้องจดจำ ก็หนูไม่มีหน้าที่ทำครัวไม่มีความจำเป็นหนูจึงไม่สนใจจดจำ"
ทัพพีได้ฟังคำโต้ตอบของแม่ลูกคู่นี้ก็นึกอยู่ในใจว่า เราก็มีหน้าที่เราก็มีความจำเป็นต้องตักแกงทุกวัน แต่เราก็ทำแกงเองไม่เป็นเหมือนกัน เพราะเรามีหน้าที่และความจำเป็นต้องตักแกงจากหม้อเท่านั้น เราไม่มีหน้าที่ทำแกงเลยเหมือนกัน
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ใครมีหน้าที่อย่างไรก็ทำตามหน้าที่นั้น รู้ชำนาญแต่หน้าที่น้ันสิ่งอื่นไม่รู้เหมือนกัน ไม่ว่าใคร เพราะฉนั้นอย่าไปว่าใครโง่เขลากว่าเราเลย
๖๐. มดคาบไข่
บ่ายวันหนึ่งเจ้าคางคกตัวหนึ่ง มันกระโดดหากินอยู่ริมรั้ว มันพบมดฝูงหนึ่งกำลังเดินแถวมามากมายหลายร้อยหลายพันตัว ปากของมันก็คาบไข่มาด้วย มันพากันเดินมุ่งหน้าไปยังโพรงไม้บนเนินดินที่เป็นโขดสูงอยู่ริมรั้ว เมื่อมดหัวหน้าเดินไป มันก็พากันคาบไข่เดินตามกันไปเป็นขบวนยาวเหยียด เจ้าคางคกจึงกระโดดเข้าไปใกล้ หมายใจจะฉกกินเป็นอาหาร ก็ต้องหยุดชะงักเพราะมดจำพวกนี้ปากมันคม ถ้าฉกไม่ดีมันก็กัดไม่ปล่อยทีเดียว เจ้าคางคกเคยถูกมันกัดมาแล้วจึงเข็ดเคี้ยว เต็มที เจ้าคางคกจึงมองดูแล้วก็ร้องทักว่า
"เฮ้ย เจ้ามดตัวน้อยๆ นี่เจ้าจะไปไหนกันเป็นทิวแถว?"
"ไปหาที่อยู่ใหม่น่ะซิ" เสียงเจ้ามดหัวหน้าร้องตอบ
"ย้ายที่อยู่ด้วยเหตุอันใดเล่า?"
"เราหนีฝนหนีน้ำท่วม"
"นี่ฝนก็ยังไม่ตกน้ำก็ยังไม่ท่วมอะไรเลย"
"เรารู้ล่วงหน้าว่าฝนจะตกน้ำจะท่วมรังเรา"
"ทำไมเจ้ารู้ล่วงหน้าได้ เจ้ามีหมอดูแม่นๆ หรือ?"
"ไม่ต้องมีหมอดูหมอเดาอะไร ธรรมชาติอย่างนี้ ฝูงมดเราก็รู้กันได้ทุกตัวตน"
"รู้ได้อย่างไรว่าฝนจะตกน้ำจะท่วม"
"รู้ได้จากอากาศร้อนอบอ้าว อากาศกดดันเราจะรู้สึกไม่สบายและไ้ดยินเสียงคางคกกัดฟันกรอดๆ อย่างนี้ฝนจะตกใหญ่ น้ำท่วมรังเราแน่เราจึงพากันย้ายหนึน้ำท่วมรังของเรา"
"เจ้าได้ยินเสียงเรากัดฟันด้วยหรือนี่?"
โอ๊ย เรื่องธรรมดาเจ้ากัดฟันก่อนฝนตก เราได้ยินชัดเจนมาก เป็นสัญญาเตือนภัยที่จริงเราขอบใจท่านด้วยนะ"
"แล้วเจ้าคาบอะไรกลมๆรีๆ สีขาวๆ นั่นน่ะ ?"
"ไข่ของเราไงล่ะ มันกำลังจะฟักเป็นตัวมดน้อยๆ ขืนปล่อยทิ้งไว้ในรังน้ำก็ท่วมไหลลอยไปไข่ก็เสีย ลูกมดของเราก็ตายหมดนะซิ ท่านตัวโตไม่น่าจะถามโง่ๆ อย่างนี้เลย"
"แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าที่อยู่ใหม่่จะพ้นน้ำท่วมรัง"
"เรามองเห็นด้วยจิตวิญญาณของพวกเราว่าน้ำจะท่วมสูงเพียงไร เราก็จะหาที่อยู่ให้สูงพ้นน้ำ"
เจ้าคางคกได้ฟังก็เงียบนึกตรึกตรองว่า เจ้ามดตัวน้อยๆ เหล่านี้เดิมเราคิดว่ามันโง่ แต่มันฉลาดมากพอจะรักษาชีวิตให้อยู่รอดจากภัยอันตรายเหมือนกัน
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า สรรพสัตว์น้อยใหญ่ทุกชนิดในโลกนี้ ย่อมมีปัญญารักษาตัวรอดเสมอ มันจึงมีพีชพันธุ์อยู่ในโลกนี้ได้ต่อมา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น