วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2558

นิทานธรรมดาโลก (๑๗)



๕๐. ใบไม้แห้งร่วงจากต้น

     ต้นหูกวางใหญ่ต้นหนึ่ง   ยืนต้นคู่กับต้นจามจุรีและต้นยางในวัดใหญ่แห่งหนึ่งมานานปี   จนเป็นต้นไม้ใหญ่มีอายุมากทั้ง ๓ ต้น
     ทุกปีทุกเดือนทุกวัน  ใบหูกวางย่อมหลุดจากขั้วเพราะแห้งบ้าง  เพราะถูกลมพายุบ้าง  ต้นหูกวางก็ยืนดูใบของมันร่วงหล่นอยู่ตลอดเวลา มันก็มีความเศร้าโศกเสียดายว่า ใบของมันต้องร่วงหล่นไปตลอดเวลา
     แต่บางครั้งบางคราวมันก็ได้ยินเสียงกระซิบจากใบไม้เหล่าน้ันว่า  อย่าห่วงอาลัยเลย  ไม่ช้านานหรอก พวกเราก็จะสลายตัวละลายกลายเป็นธาตุดิน  น้ำ  ลม  ไฟ กลับคืนเข้าไปอยู่ในดินตามเดิม 
     ต้นจามจุรีก็เหมือนกัน  ทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี ลูกของมัน ใบของมัน ดอกของมัน ก็ร่วงหล่นลงสู่พื้นดินอยู่ตลอดเวลา  มันยืนมองดูแล้วก็เสียดายอาลัยรักชิ้นส่วนในร่างกายของมันที่ร่วงหล่นลงไป
     แต่นานๆ ทีมันก็ได้ยินเสียงกระซิบจากลูก  จากดอก จากใบของมัน ที่ร่วงหล่นลงไป  บอกว่าแม่อย่าห่วงอาลัยเลย  ไม่ช้าพวกเราก็สลายตัวกลายเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ  กลับคืนเข้าไปอยู่กับแม่เหมือนเดิม 
     ต้นยางแก่  โชคร้ายกว่าเพื่อน  เพราะปีนี้มีคนมาโค่นต้นของมันล้มลง เอาลำต้นของมันเลื่อยมาเป็นแผ่นกระดาน ขนเอาไปขายในเมือง  เหลือแต่ตอต้ังอยู่  ตกกลางคืนยามดึกมันก็นั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่
     แต่ร่างทิพย์ของมันเอง  กลับมาร้องบอกว่า แม่ไม่ต้องห่วงอาลัย อีกไม่กี่ปีหรอก  เราก็จะสลายตัวกลายเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ กลับคืนไปรวมอยู่กับแม่เหมือนเดิม
     เพราะต้นไม้พืชพันธ์ุทั้งหลายน้อยใหญ่ในโลกธาตุนี้ หามีตัวตนจริงไม่  เป็นแต่สิ่งปรุงแต่งก่อรูปกายขึ้นมาจากดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อหมดอายุขัย ถูกทำลายลงด้วยเหตุใดก็ดี  ย่อมจะสลายตัวกลายไปเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ  ตามธาตุเดิมที่พระพรหมสร้างขึ้นมา  เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม ก็จะถูกสร้างขึ้นใหม่ เป็นพืช สัตว์ ทั้งปวงในโลกนี้  หมดอายุขัยแล้วก็จะแตกสลายไปอีกหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปมาจากรูปเป็นนาม  จากนามเป็นรูป เช่นนี้ชั่วกัปป์ชั่วกัลป์  มิได้สูญหายไปไหนเลย
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  สรรพสิ่งในโลกนี้ แร่ธาตุ พืชพันธุ์ สัตว์ มนุษย์ ดิน น้ำ ลม ไฟ  แผ่นดิน แผ่นน้ำ  ย่อมเป็นสิ่งเดียวกันโดยแท้  ที่มีรูปร่างเห็นด้วยตา จับต้องด้ มีสี มีรส มีกลิ่น มีน้ำหนัก เราเรียกว่า วัตถุ หรือรูป ที่แลไม่เห็นด้วยตา จับต้องไม่ได้ แต่ก็มีอยู่  เช่น ลม และไฟฟ้า  เราเรียกว่า พลังงานหรือนาม  ทั้งรูปและนาม ทั้งวัตถุ และพลังงานล้วนแต่เกิดขึ้่น ต้ังอยู่ดับไป  เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ตลอดเวลา  อย่าไปยึดถือสิ่งใดว่าเป็นเขาเป็นเราเลย  เราคือเขา  เขาคือเรา เป็นสิงเดียวกัน  แต่ต่างแยกตัวมีอิสระจากกันเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น  ทุกสิ่งเป็นสิ่งเป็นเครื่องเล่นของพระพรหมทั้งสิ้น  พระผู้เป็นเจ้าน้ันเป็นองค์เดียวกัน  ถึงแม้ว่าใครจะเรียกว่า พระพรหม พระนารายณ์ พระอิศวร พระพุทธเจ้า พระเทวาติเทพ พระวิสุทธิเทพ พระอมฤตเทพ พระเทวธิราช พระสยามเทวาธราช แต่พระผู้เป็นเจ้าองค์นี้แหละคือสิ่งสูงสุดมีบรมเดชานุภาพสูงสุดในสากลจักรวาลนี้  เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง  คิดไมถึง  เป็นอจินไตยโดยแท้  เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งในโลกนี้ 

๕๑. ค่าของคนกับรองเท้า

     ในกาลครั้งหนึ่ง  ชายคนหนึ่งได้เดินทางกับภรรยาเพื่อไปเยี่ยมบ้านภรรยายังต่างหัวเมือง   ต้องเดินทางด้วยเท้าผ่านทุ่งและหมู่บ้านชนบทไปไกล   เป็นหนทางหลายพันโยชน์  ระหว่างที่เดินทางไปนั้น  ฝนตกใหญ่พื้นดินในทุ่งนาเป็นโคลนเลน  รองเท้าที่ชายคนน้ันสวมไปจึงใช้สวมไม่ได้  จำเป็นต้องถอดรองเท้าหิ้วไป  เมื่อผ่านไปยังบ้านแห่งหนึ่งชายผู้นั้นจึงแวะเข้าไปบ้านชาวชนบทนั้น  ขอฝากรองเท้าคู่นั้นไว้  ชายชาวชนบทก็ยินดีรับฝากไว้ด้วยดี 
     เมื่อเดินทางไปอีกระยะหนึ่งก็เกิดเคราะห์ร้าย  ภรรยาของชายคนน้ันก็ถูกงูเห่ากัดตายระหว่างทาง   ชายคนนั้นจีงมีความรักความอาลัยภรรยามาก  แต่ไม่มีเครื่องมือจะทำการฝังศพภรรยาได้  จึงแบกศพของภรรยาเดินกลับมายังบ้านชาวชนบทคนนั้น   ออกปากว่าขอฝากศพภรรยาไว้สักคืนหนึ่ง  จะเดินทางกลับไปบอกญาติพี่น้องมาจัดการศพภรรยาวันพรุ่งนี้  จะทิ้งศพภรรยาไว้ในป่าก็เกรงเสือจะมากินศพภรรยาเสีย   แต่ชายชาวชนบทน้ันปฎิเสธไม่ยอมรับฝากศพพภรรยาของชายคนน้้นไว้ในบ้านของตน   จะแค่นอย่างไรจะจะจ้างวานอย่างไร  จะสัญญาให้เงินค่าเฝ้าศพเท่าไร  ชายชาวชนบทคนน้ันก็ไม่ยอมรับฝากศพเป็นอันขาด   ชายคนนั้นจำต้องแบกศพภรรยาเดินทางกลับบ้านด้วยความลำบาก  หนักเข้าทนไม่ไหวและศพนั้นก็เริ่มเน่ามีกลิ่นเหม็น   ชายผู้นั้นก็จำต้องทิ้งศพภรรยาไว้ที่ชายป่าน้้น 
     เมื่อจะจากศพภรรยาไป  เขาก็พูดรำพึงขึ้นว่า "น้องคนงามสุดที่รักของพี่เอ๋ย  เมื่อน้องยังมีชีวิตอยู่  รูปร่างหน้าตาก็โสภาเพียงบาดใจตาย  แต่เมื่อน้องตายแล้วซากศพของน้องก็เน่าเหม็น  จะฝากใครไว้ก็ไม่มีใครรับฝาก  ช่างมีค่าน้อยกว่ารองเท้าเก่าๆ คู่หนึ่งเสียอีกหนอ"
     นิทานเรื่องนี้  เรื่องธรรมดาของโลกสอนให้ชายผู้นั้นเห็นว่า  ร่างกายของคนเมื่อตายแล้วน้ัน  มีค่าน้อยกว่ารองเท้าคู่หนึ่งเสียอีกเล่า 

๕๒. แมวขี้แล้วกลบ
     
     หมาน้อยตัวหนึ่งมันเป็นหมาวัด  มันเดินไปมาในบริเวณวัดแห่งนั้น  คร้ันมันรู้สึกปวดท้อง  จึงโก่งก้นถ่ายอุจจาระแล้วก็เดินต่อไป  พบแมวตัวหนึ่งกำลังใช้เท้าคุ้ยทรายกลบอะไรอยู่  กลบไม่มิดก็คุ้ยดินกลบอีก   แล้วดมพิสูจน์กลิ่นดูเมื่อดินกลบมิดแล้ว  มันจึงหันกลับมาพบหมาน้อยกำลังจ้องมองอยู่ มันจึงถามว่า 
     "แกจ้องดูอะไร ?"
     "ข้าดูว่าแกกำลังคุ้ยดินกลบอะไรอยู่   แกจับหนูได้แล้วกินไม่หมด  จึงคุ้ยดินกลบซ่อนไว้ใช่ไหม่ล่ะ"
     "ใครว่า ข้ากลบขี้่ต่างหาก"
     "กลบขี้ของใคร ?"
     "กลบขี้ของข้่าเองแหละ"
     "อ๋อ  นี่เอ็งขี้แล้วต้องกลบด้วยหรือ ?"
     "ใช่แล้ว  เป็นนิสัยของแมวทุกตัว"
     "นี่ข้าถามจริงๆเถอะ"
     "ถามว่าไง ?"
     "ถามว่าเจ้ากลบขี้ทำไม"
     "อ้าว  ก็ขี้มันเหม็น สัตว์อื่นก็เหม็น เมื่อขี้แล้วก็ต้องกลบไม่ให้ส่งกลิ่นเหม็นน่ะซิ"
     "ถ้าไม่กลบจะเกิดอะไรขึ้น?"
     "ถ้าไม่กลบ ข้าก็กลายเป็นหมาเหมือนแก   แกก็รู้อยู่แล้วว่าหมาอย่างพวกแกไม่เกลียดขี้   แต่ว่าแมวอย่างเราเกลียดขี้"
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า สัตว์ที่มีนิสัยสะอาดน้ันย่อมเกลียดสิ่งสกปรกฉันใด  เหมือนคนดีย่อมเกลียดความชั่วฉันนั้น 

      

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น