วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2558

นิทานธรรมดาโลก (๒๒)


๖๔. ต้นกล้วย  ขอนสัก และลำไม้ไผ่

     ในแม่น้ำแห่งหนึ่ง น้ำไหลเชี่ยวมากและแล้วน้ำอันไหลเชี่ยวนั้นได้พัดพาเอาต้นกล้วย  ขอนไม้สัก  และลำไม้ไผ่มาพบกัน   แล้วจึงไหลลอยตามน้ำไปด้วยกัน 
     ต้นกล้วยลอยไปลำไม้ไผ่จึงร้องถามว่า 
     "ท่านมาแต่ไหน?"
     ต้นไผ่ตอบว่า 
     "เรามาแต่ป่าไผ่ ถูกเขาตัดเอามาใช้ทำแพ"
     แล้วต้นไผ่ก็ถามกล้วยว่า 
     "ท่านมาแต่ไหนเล่า?"
     ต้นกล้วยตอบว่า 
     "เรามาแต่ป่ากล้วย  เราถูกตัดลำต้นของเราทิ้งลอยน้ำมา"
     แล้วลำไผ่ก็ลอยไปปะทะกับเจ้าขอนสัก  จึงร้องทักว่า 
     "ท่านมาแต่ไหน ลำต้นออกใหญ่โต"
     "เรามาแต่ป่าใหญ่  คนเขาตัดเรามาเลื่อยไปใช้ทำเสา  ทำกระดาน"
     ขณะนั้นพระแม่คงคานิ่งฟังต้นไม้ทั้งสามสนทนากันก็อุทานออกมาว่า 
     "ต้นกล้วยถูกฆ่าเพราะว่าผลของมันเอง  ต้นไผ่ถูกฆ่าเพราะว่าต้นของมันเอง  ต้นสักถูกฆ่าก็เพราะคุณค่าของเนื้อไม้สักเอง"
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า   ต้นไม้ในป่าจะอาสัญเพราะลูกผลของมันและลำต้นของมันเอง  เหมือนคนจะอาสัญก็เพราะความดีและความชั่วของตัว พอๆกัน บางทีก็อาสัญเพราะลูกของตัวเอง 

    ๖๕. นกเอี้ยงเลี้ยงควายเฒ่า

     นกเอี้ยงตัวหนึ่งขนสีดำปากเหลือง  หวีผลแปล้บินมาเกาะหลังควายแก่ตัวหนึ่ง  ควายแก่เที่ยวเดินและเล็มหญ้าอยู่ตามทุ่งนา  นกเอี้ยงก็เกาะหลังควายตัวนั้นไปเรื่อยๆ   เด็กเลี้ยงความสองสามคนเห็นนกเอี้ยงเกาะหลังควายก็เข้าใจว่านกเอี้ยงมาเลี้ยงดูควาย  ควายได้กินหญ้ากินข้าวอิ่ม  แต่นกเอี้ยงอดอาหารจนหัวโต  จึงร้องเพลงว่า 
     "นกเอี้ยงมาเลี้ยงความเฒ๋า  ควายกินข้าว นกเอี้ยงหัวโต" 
     นกเอี้ยงเอียงคอฟังเพลงของเด็กเลี้ยงควายแล้วก็หัวเราะพูดขึ้นว่า 
     "เด็กเลี้ยงความเสียเปล่าไม่เข้าใจอะไรเลย   เราจับอยู่บนหลังควายเป็นที่หาอาหาร  เวลามีเหลือบมาเกาะกินหลังควาย  เราก็ได้จิกกินตัวเหลือบ ควายก็พอใจ ไม่ถูกเหลือบกินเลือด  แมลงวัน  ยุง เหลือบบนหลังควายเป็นอาหารของเราได้กินทุกวัน"
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า   อย่านึกว่าคนตัวโตๆ หัวโตๆ  จะฉลาดกว่าสัตว์เช่นนกเอื้ยงตัวน้อยๆ   ที่จริงมันฉลาดและขยันหากินยิ่งกว่าคนเสียอีก 

๖๖. แมลงวันหัวเขียว

     แมลงวันหัวเขียวตัวหนึ่ง  ตัวมันโต หัวของมันมีสีเขียวสดใสสวยงาม   มันเที่ยวบินหากินตัวเดียวโดยอิสระเสรี  เมื่อมันได้กลิ่นขนมมันก็บินมาเกาะ  ใช้จงอยปากดูดกินอย่างเอร็ดอร่อย   เมื่อมันพบสัตว์ตายเน่าอยู่  หรือมูลสัตว์กองอยู่  มันก็บินเกาะใช้จงอยปากดูดกินอย่างเอร็ดอร่อยเหมือนกัน 
     วันหนึ่งมันบินไปพบเหลือบตัวหนึ่งกำลังเกาะหลังวัวตัวหนึ่งเพื่อจะดูดกินเลือดของวัว  ส่วนแมลงวันหัวเขียวก็บินไปเกาะหลังวัวเพื่อจะดูดกินน้ำหนองจากแผลเป็นหลังวัวนั้นเหมือนกัน
     เมื่อแมลงวันหัวเขียวเห็นเจ้าเหลือบบินมาเกาะหลัง  เหลือบจึงร้องถามว่า  " เจ้ามากินอะไรบนหลังวัว"
     เหลือบหันมามองแมลงวันหัวเขียว เพ่งมองอยู่ที่หัวเขียวของมันสักครู่แล้วตอบว่า  "เรามาหากินเลือดของวัวน่ะซิ   อาหารของเราคือเลือดสีแดงๆ ของสัตว์ ท่านเล่ากินเลือดเหมือนกันหรือ?"
     "เปล่าหรอก อาหารของเราไม่ใช่เลือดสัตว์  แต่เป็นอาหารใหม่และอาหารเก่าสองอย่างเท่านี้" 
     "อาหารใหม่ของท่านคืออะไร ?"
     "อาหารใหม่คือขนมและน้ำตาลเป็นอาหารสดๆ ใหม่ ๆ ดื่มแล้วชื่นใจมีกำลังวังชาดีนัก"
     "อาหารเก่าเล่ามีอยู่ที่ไหน ?"
     "อาหารเก่าได้แก่มูลสัตว์ที่ถ่ายกองไว้  มันย่อมมีโอชะดื่มกินแก้หิวกระหายได้  อีกอย่างคือน้ำหนองจากแผลของสัตว์  เช่นแผลบนหลังวัวนี่ไงล่ะ  ดื่มกินแล้วก็มีโอชะของอาหารบำรุงร่างกายเหมือนกัน  เพราะมันย่อมประกอบด้วยดินและน้ำเหมือนกัน  มันมีน้ำมันและน้ำตาลเหมือนกัน  แม้เลือดที่ออกจากร่างกายสัตว์ก็เหมือนกัน  แต่เราไม่พอใจที่จะดื่มเลือดสดๆ  จากร่างกายของสัตว์ เพราะปากเราไม่มีเหล็กแหลมแทงเนื้อสัตว์  เราชอบดื่มจากแผลที่เจ้าของเปิดไว้ไม่หวงแหน"
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  แม้แมลงวันหัวเขียวที่คนเราว่าเป็นสัตว์สกปรก  แต่แท้ที่จริงมันเป็นสัตว์สะอาดและฉลาด มีเหตุผลของมันเองเหมือนกัน 

     

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น