วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

นิทานธรรมดาโลก (๒๘)


๗๙ แมงมุมชักใย

     แมงมุมตัวหนึ่งมันชักใยติดไว้ที่หน้าต่างบ้าน โดยติดไว้ทางด้านทิศเหนือ ไปติดไว้ทางทิศใต้สี่เส้นขึงไว้  แล้วชักใยเป็นตารางกลมๆได้ตรงกลางเส้นใยถี่ๆหลายเส้น เพื่อขึงดักแมลงที่บินไปมาที่จะติดตาข่ายอยู่ที่ตรงกลางนี้  แล้วมันก็แอบไปนอนนิ่งอยู่ที่ต้นสายใย
     ต่อมาก็มีตัวชีผ้าขาวบินมาหากิน  ผ่านตาข่ายสายใยแมงมุมก็ติดอยู่ดิ้นรนไปมา  ฝ่ายเจ้าแมงมุมเมื่อตาข่ายสั่นไหว  ก็รู้ได้ทันทีว่ามีแมงบินมาติดตาข่ายเข้าแล้ว  จึงวิ่งปราดไปตามเส้นสายใย เข้าไปที่ตาข่ายตรงกลางพบเจ้าชีผ้าขาวติดอยู่ จึงร้องตะคอกว่า  
     "นั่นเจ้าบังอาจล่วงล้ำด่านแดนของเราเข้ามา  เจ้าผิดอย่างฉกรรจ์ เราจะต้องประหารชีวิตเจ้าเสียเดี๋ยวนี้"
    เจ้าชีผ้าขาวร้องตอบว่า
     "ช่องทางนี้เป็นทางบินไปมาของเรา   ท่านมาชักใยขวางทางเราด้วยเหตุใดเล่า?"
    "ช่วงทางนี้เป็นเขตแดนของเรา เราจึงต้ังด่านไว้ในเวลาราตรี เจ้าจะไปไหนในเวลาค่ำคืนเช่นนี้?"
     "เราบินออกหากิน บางทีเราก็บินไปเล่นแสงไฟอันสวยงาม"
     "เจ้าทำผิดมากที่ออกหากินในเวลาค่ำคืน และบินไปเล่นแสงไฟอันมิใช่การงาน   จงยอมให้เราทำโทษประหารชีวิตเสียโดยดี"
     ว่าแล้วแมงมุมก็ตรงเข้ากัดตัวชีผ้าขาว  เอามากินเป็นอาหาร
    
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้สัจธรรมว่า  เส้นใยแมงมุมน้ันเปรียบดังอายตนะทั้ง ๖ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อเจ้าชีผ้าขาวมาสัมผัสสายใยแมงมุม เจ้าแมงมุมก็ได้รับรู้และมากินเจ้าชีผ้าขาวเป็นอาหาร   ดังอารมณ์เมื่อมาสัมผัสอายตนะ จิตก็ได้รับรู้และกลืนกินอารมณ์นั้น 

วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

นิทานธรรมดาโลก (๒๘)


๗๘.งูเขียวกินตับตุ๊กแก
      ตุ๊กแกตัวหนึ่งมันเกาะนิ่งอยู่ที่กิ่งมะขามเทศ  มันสังเกตุเห็นจิ้งจกตัวหนึ่งไต่กิ่งมะขามเทศมาเกาะอยู่ข้างหน้ามัน มันจึงตะครุบจิ้งจกกลืนกินเป็นอาหารแล้วนอนเกาะกิ่งไม้นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง  เพื่อรอสัตว์อื่นเผลอตัวเดินเข้ามาเป็นอาหารของมันต่อไปอีก 
     ขณะน้ันมีงูเขียวตัวหนึ่ง เลื้อยมาตามกิ่งมะขามเทศ  มันเห็นตุ๊กแกเกาะกิ่งมะขามเทศนิ่งอยู่  มันจึงเลี้อยปราดเข้ามาโดยเร็ว 
     เมื่อตุ๊กแกแลเห็นงูเขียวเลี้อยตรงเข้าเช่นน้้น มันก็รู้โดยปัญญาญาณของมันทันทีว่าภัยกำลังมาถึงตัวแล้ว  มันรู้ตัวดีว่างูเขียวจะต้องตวัดรัดตัวมัน แล้วกลืนหัวมันเป็นอาหารเหมือนที่มันกลืนจิ้งจกเมื่อตะกี้นี้  มันจึงอ้าปากของมันออกให้กว้างที่สุด จนงูเขียวกลืนหัวของมันไม่ได้ มันไม่มีวิธีอื่นจะป้องกันตัวมันได้ดีกว่านี้
     ฝ่ายเจ้างูเขียวเมื่อไม่สามารถจะอ้าปากให้กว้างเพื่อกลืนหัวตุ๊กแกได้ เพราะตุ๊กแกอ้าปากกว้างไว้ก่อนแล้ว มันจึงเอาหัวเข้าไปในคอตุ๊กแกค้นดูอาหารในท้องตุ๊กแก  เมื่อเจอจิ้งจกในท้องตุ๊กแกแล้ว งูเขียวก็กลืนจิ้งจกในท้องตุ๊กแกเป็นอาหารของมัน แล้วจึงค่อยถอนหัวออกจากปากและท้องตุุ๊กแกเลี้อยต่อไปยังกิ่งไม้อื่น ส่วนตุ๊กแกยังอ้าปากค้างอยู่ครู่่หนึ่ง  เมือปลอดภัยด้วยงูเขียวเลี้อยห่างออกไปแล้ว  มันจึงค่อยหุบปากลงด้วยความเสียดายอาหารที่งูเขียวมาล้วงไปกินเสีย 
     เด็กสองคนที่ยืนอยู่ข้างต้นมะขามเทศจึงพูดกันว่า "งูเขียวล้วงคอกินตับตุ๊กแก"  ตุ๊กแกไ้ด้ฟังก็ร้องขึ้นว่า 
     "โกหก โกหก มันกินจิ้งจกในหัวอกของเราต่างหาก" 
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  ไม่มีใครรู้เรื่องของเราเท่าตัวเราเอง ใครเขาจะนินทาว่าอย่างไรก็ช่างเขาเถิด
     คนช่างนินทามีอยู่ ๓ ประเภท 
     ๑.คนรู้จริง
     ๒.คนรู้ไม่จริง
     ๓. คนรู้จริงบ้างไม่จริงบ้าง 
     คนโบราณจึงเรียกคนนินทาว่าร้ายว่า "ตรีชา"  แปลว่า "รู้สามอย่าง" 
     

วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2559

นิทานธรรมดาโลก (๒๗)



๗๗. เห็ดคน
     อดีตกาลนานมา ไม่รู้ว่ากี่ร้อยพันปี  ยังมีมานพน้อยนายหนึ่ง เป็นบุตรมหาเศรษฐี  บิดามารดามีทรัพย์มหาศาลนับได้หลายล้านโกฎิอสงไขย  นอกจากจะมีทรัพย์มหาศาลแล้ว มานพน้อยนี้ยังมีลักษณะเลิศชายหาใครจะเปรียบปานมิได้   ยิ่งไปกว่าน้ันยังมีน้ำใจกว้างขวางเหมือนดังทะเลมหาสมุทร
     เป็นบุตรมหาเศรษฐีมหาศาล ใครจะต้องการสิ่งใดก็ยินดียกให้ไม่เสียดายเลย  ด้วยมิได้เคยพบกับความไม่มี  เมื่อเห็นผู้อื่นไม่มีสิ่งใดก็ให้เดือดร้อนรำคาญแทน  ปรารถนาจะเห็นผู้อื่้นไม่ขาดแคลนดังเช่นตนบ้าง  เพราะเหตุแห่งความมีน้ำใจกว้างขวางจึงมีเพื่อนฝูงและบริวารมากมาย  และสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นธรรมดาจะขาดเสียมิได้  คือมีหญิงสาวทั้งหลายหลงรักอยากได้เป็นคู่ครอง  แต่บุตรชายมหาเศรษฐีนี้ก็มิได้มีใจปฎิพัทธ์เสน่หานารีใดในทางเพศสัมพันธ์เลย  มีแต่รักใคร่เป็นน้องเป็นพี่  ทั้งสาวแก่แม่หม้ายบรรดามีจึงเพียรพยายามใช้มารยาสตรีที่มีอยู่ถึง  ๑๒ เล่มเกวียนมาใช้ ก็หาสมประสงค์ไม่  สรุปความว่าบุตรชายมหาเศรษฐีไม่ตกหลุมรักหญิงใดในประเทศน้ันเลย 
     เมื่อได้ใช้ชีวิตความสุขเกษม มาจนเลยวัยหนุ่มใหญ่วัย ๓๕ปีแล้วก็ให้รู้สึกเบื่อโลก  ด้วยมิได้เห็นจะมีสิ่งใดมีแก่นสารและน่ารื่นรมย์ชมชื่นต่อไปแล้ว   จึงลาบิดามารดาเข้าป่าหิมพานต์บวชตนเป็นพระฤาษีบำเพ็ญตะบะอยู่ในป่าน้ัน แต่ก็ยังมีมารตามไปผจญอยู่เรือยๆ    บ้างก็ไปขอเงินใช้โดยให้บุตรมหาเศรษฐีขีดเขียนเครื่องหมายให้แก่ตน  เพื่อเอาไปแสดงแก่บิดามารดาของบุตรชายเศรษฐีน้้นว่าตนเป็นเพื่อนสนิท  เป็นมิตรสหายได้รับอนุญาตให้มาเบิกเงินส่วนที่เป็นของลูกชายมหาเศรษฐีน้ันได้ ด้วยบิดามารดามหาเศรษฐีฤาษีน้ันได้กันแบ่งไว้เป็นของพระฤาษีส่วนหนึ่งแล้ว  แม้ว่าฤาษีลูกชายจะเบื่อหน่ายเพศพรหมจรรย์ลาเพศฤาษีออกกมาเมื่อใดก็จะได้ใช้ทรัพย์ของตนได้  บรรดามิตรสหายของพระฤาษีก็ตามไปรบกวนขอเครื่องหมายแกงไดเอามาเบิกเงินใช้เสมอมิได้ขาด  ท้ังที่พระฤาษีก็สละทรัพย์นั้นทั้งหมดแล้ว มิได้อาลัยอาวรณ์หรือถือว่าเป็นของตนแต่อย่างใด แต่บิดามารดาผู้รักษาสมบัติน้ันไว้ก็จะมิยอมจ่ายให้แก่ผู้ใด นอกจากผู้มีเครื่องหมายของบุตรชายมาแสดงว่าได้รับอนุญาตจากบุตรชายฤาษีน้ัน ประชาชนทั่วไปจึงติดตามไปหาพระฤาษีองค์น้ันเพื่อขอเครืองหมายแกงไดมาแสดงเพื่อไปเบิกเงินอยู่ตลอดปีตลอดชาติมิได้ขาดเลย   
     เหลาสตรีก็ยังมีมานะพยายามไปพบพระฤาษีเหมือนกัน อย่างหนึ่งก็คือไปขอเครื่องหมายเบิกเงินใช้อีก  อย่างหนึ่งก็ฺคือคิดจะไปสึกฤาษีมาเป็นสามีของตน  แต่ประการหลังนี้ไม่ปรากฎมีผู้ใดทำสำเร็จ  อย่างไรก็ดีแม้ทรัพย์ของมหาเศรษฐีจะมีมากมายล้นเหลือเท่าใดก็ดี  แต่คนที่อดอยากก็มีล้นเหลือเช่นเดียวกัน  นอกจากน้ันก็ยังมีคนที่โลภมากล้นเหลือเช่นเดียวกัน  เมื่อคนเหล่านี้พากันไปขอเครื่องหมายแกงไดมาเบิกเงินใช้อยู่ทุกวันตลอดมา  อยู่มามิช้าทรัพย์น้ันก็หมด   ถึงไม่หมดไปจากโลก แต่ก็หมดไปอยู่กับคนอดและคนโลภอันมีมากมายมหาศาลยิ่งกว่าทรัพย์มหาศาลของมหาเศรษฐีเสียอีกเล่าฉนั้น  เมื่อคนสุดท้ายไปขอเครื่องหมายแกงไดพระฤาษี  ท่านก็รู้ด้วยญาณทันทีว่าไม่มีทรัพย์เหลืออยู่แม้แต่เบี้ยเดียว   พระฤาษีจึงไปบอกแก่ผู้ไปขอคนสุดท้ายน้ันว่า  "ทรัพย์นอกกายของข้าหมดแล้ว  ไม่มีเหลืออยู่แม้แต่ชิ้นเดียว   บัดนี้ยังเหลือทรัพย์ในกาย  ชิ้นสุดท้ายอยู่ชิ้นหนึ่ง ข้ามิได้ทำประโยชน์อันใด  แต่เจ้าจะเอาไหม ?"
     ผู้โชคดีคนสุดท้ายก็ตกปากว่า "เอา"  ตามประสาคนโลภและขี้ขอท้ังหลาย  
     พระฤาษีก็เปิดหนังเสือโคร่งที่นุ่งห่มครองกายน้ันขึ้นเด็ดทรัพย์ในกายชิ้นสุดท้ายน้ันโยนไปให้  หญิงผู้น้ันก็ตกตลึง  ด้วยไม่เคยคิดว่าพระฤาษีจะปลิดสิ่งน้้นให้แก่ตนได้  จึงก้มลงกราบพระฤาษีว่า
     "ของชิ้นนี้  ข้าพเจ้าต้มกินมื้อเดียวก็หมดสิ้น  ต่อไปข้าพเจ้าอยากกินอีก จะไปหากินได้ที่ไหนเล่า"
     พระฤาษีจึงตอบว่า  "เอ็งกินแล้วไปถ่ายไว้ที่ใดก็จะมีเชื้อเห็ดเกิดขึ้นมา มีรูปลักษณะเหมือนของเดิม เอ็งไปเก็บเอามาต้มกินได้"
     นางยังไม่พอใจจึงว่า "เผื่อลูกข้าพเจ้าหลานข้าพเจ้าอยากจะกินบ้างเล่าจะทำฉันใด"
     พระฤาษีตอบว่า "พืชพันธุ์ชนิดนี้จะมีอยู่ประจำโลกต่อไปไม่รู้สิ้น  จะเป็นของกินอันโอชะอย่างหนึ่งของมนุษย์"
     นางจึงถามต่อไปอีกว่า "ถ้าจะมีคนถามจะเรียกพืชพันธุ์ชนิดนี้ว่าอะไรเล่า"
     พระฤาษีตอบว่า "มันเกิดจากคน  รูปร่างก็เหมือนคนควรจะเรียกว่า "เห็ดคน"   แต่ต่อไปมนุษย์ใจบาปจะลืมคุณข้า  เขาจะพากันเสแสร้งเรียกเสียใหม่ว่า "เห็ดโคน" " 

     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า   ทำคุณแก่ใครอย่าหวังเลยว่าเขาจะตอบแทนคุณเรา เพราะมนุษย์ร้อยละ ๙๐ เป็นคนอกตัญญู  อีก ๙ คนก็เป็นคนเนรคุณคน อีก ๑ เป็นคนลืมคุณคน  
            

วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2559

นิทานธรรมดาโลก ( ๒๖)


๗๖.นกกะลาหัวหงอก



     ในกาลครั้งหนึ่ง นกกะลางมันแลเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกสีทองสวยงาม  คร้ันตอนเย็นใกล้ค่ำ มันก็เห็นดวงอาทิตย์ทอแสงสีสวยงามตา มันจึงอยากจะบินตามไปดูดวงอาทิตย์ให้ใกล้ชิด มันบินตามดวงอาทิตย์มาต้ังแต่เช้าจนเที่ยง จนเย็นก็ไม่พบดวงอาทิตย์ มันบินตามดูดวงอาทิตย์ตอนเย็นทุกๆวัน
     วันหนึ่งมันพบเจ๊กคนหนึ่ง กำลังขุดดินทำไร่อยู่กลางดง มันจึงบินเข้าไปถามว่า  อีกสักกี่วันจึงจะบินทันดวงอาทิตย์
     เจ๊กได้ยินไม่ชัด คิดว่าถามว่าต้นมะม่วง ต้นขนุนที่ปลูกไว้ว่าเมื่อไรจะมีลูก  จึงตอบว่า 
     "เจ๊กปี" 
     นกกะลางก็บินตามดูดวงอาทิตย์มาถึง  ๗ ปีจนหัวหงอกเต็มหัวแล้ว  ยังไม่ทันดวงอาทิตย์ มันโกรธเจ๊กคนน้ันมาก จึงร้องด่าเจ็กตอนใกล้ค่ำทุกวันว่า 
     "เจ๊กโกหก เจ๊กโกหก เจ๊กโกหก" 
     
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  เพราะเราโง่จึงหลงฟังคำพูดเหลวไหลของคนอื่น  แล้วก็หลงเชื่อถือเพราะฟังไม่ได้ศัพท์  จับมากระเดียด