วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

นิทานธรรมดาโลก (๑๒)


๓๕. ไก่ต่อไก่เถื่อน

     ไกเถื่อนฝูงหนึ่ง  อาศัยอยู่ในป่ามันมีไกตัวผู้ตัวหนึ่งเป็นหัวหน้าฝูง คอยต่อสู้คอยระมัดระวังภัย  คอยคุ้มครองป้องกันไก่ตัวเมีย  และไก่เล็กไก่อ่อนอยู่เสมอมา
     วันหนึ่งนักต่อไก่ป่าคนหนึ่งพบเข้า  จึงไปเอาไก่แจ้มาเลี้ยงไว้จนเชื่องดี  แล้วก็ทำ "ครึน"  เครื่องดักไก่ป่าเข้าเป็นเชือกบ่วง วางไว้กับพื้นหญ้า  ถ้าไก่ป่าเดินมาสะดุดเข้าเชือกนั้นมีหูรูด  ก็จะรูดเอาตีนไก่ติดหลักที่ปักไว้ ไก่ก็ดิ้นไม่หลุด คนก็จับเอาไก่ป่ามาฆ่าแกงกินเป็นอาหารได้
     พรานครึนนักต่อไก่ป่า  ลอบเอาไก่ต่อไปปักหลักผูกขาไว้  ณ บริเวณชายป่า  แล้ววางครึนคือบ่วงไก่ไว้กับพื้นหญ้า  แล้วแอบซุ่มอยู่ชายป่า  คร้ันได้เวลาหากิน เจ้าไก่ป่าก็พาฝูงไก่ออกหากิน  เมื่อมาพบไก่ต่ออยู่กลางแปลง จีงพากันเข้ามาหา เพื่อจะดูวา่เป็นไก่ป่าพวกเดียวกันหรือไก่ป่าอื่นแปลกปลอมล่วงถิ่นเข้ามา  เมื่อไก่ป่าเจ้าถิ่นเห็นว่าไม่ใช่ไก่ป่าเดียวกันจึงเข้าจิกตี  ไก่ตัวเมียก็จึงเข้ามาดู  ทันใดนั้นเองตีนก็ปะเตะเอาครึนเข้า ขาเข้าไปติดอยู่ในบ่วง    ดิ้นไม่หลุด ไก่อื่นรุมกันเข้ามาช่วยจิก  เลยติดครึนเข้า คร้ันแล้วไก่อื่นก็ตกใจหนีไปทิ้งไก่ที่ติดครึนนอนอยู่  เจ้าพรานไก่นักต่อไก่ก็เข้ามาจับเอาไปฆ่าแกงกิน
     เมื่อพรานเข้ามาจับตัวมัน  มันก็ดิ้นรนให้พ้นมือแล้วก็ส่งเสียงร้องว่า "ลูกเอ๋ย ระวังไก่แปลกหน้าให้ดี"
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าไว้ใจคนแปลกหน้า ให้พินิจพิจารณาสิ่งที่ผิดปกติธรรมดาให้จงดี
๐๐๐๐๐๐๐๐

๓๖. หอยสังข์จำศีล


     ในกาลครั้งหนึ่ง  สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นชายป่า  มีลำธารไหลผ่านต้นไม้ใบหญ้าเขียวชะอุ่มชุ่มเย็น  สัตว์สองเท้า สี่เท้า และสัตว์เลี้อยคลานตลอดจนนกหนูในป่านั้น  ก็อยู่อาศัยมาด้วยความผาสุกตามอัตภาพของตน  ด้วยอาหาร น้ำ และอากาศธรรมชาติ  จะมีภัยจากมนุษย์และสัตว์ร้ายตลอดจนภัยธรรมชาติ เช่น อุทกภัย วาตภัย อัคคีภัย  ก็คอยหลบหลีกรักษาตัวเอาเอง  ก็เป็นอยู่ดั่งนี้โดยเท่าเทียมกันทั้วหน้า  บรรดาสัตว์ทั้งหลายในป่านั้นล้วนแต่เกิดมามีชีวิตอยู่เติบโต   แล้วก็ล้มตายจากกันไปตามธรรมดาด้วยความชรา หรือถูกสัตว์อื่นมาเบียดเบียนบ้าง  ยังมีชีวิตอยู่ก็ออกหากินกันไป  สมสู่สืบพันธ์ุกันไป  หมุนเวียนอยู่ตามยถากรรมเช่นนี้
     คร้้งนั้นยังมีสัตว์  ๓ ชนิด  เป็นมิตรสหายกัน คือ คางคก กบ และหอยสังข์  เพราะอาศัยอยู่ด้วยกันและไม่เป็นเวรภัยแก่กัน
    คร้ันถึงฤดูแล้งเดือนสี่เดือนห้า  เมื่อน้ำในลำธารงวดลง  อาหารฝืดเคืองเจ้าสัตว์ทั้งสามก็จะจำศึลชั่วคราวเป็นเวลา ๑ เดือน ๒ เดือน รอเวลาฝนตกใหม่จึงออกหากินต่อไป ระหว่างเวลาจำศีลนี้ก็จะหยุดออกหากินหยุดการเดินทางหยุดการเคลื่อนไหวใดๆ หมดทั้งสิ้น  ขุดรูเข้าไปนอนอยู่ในดิน นอนอยู่นิ่งตลอดเวลา  เมื่อร่างกายมิได้ใช้กำลังไม่เสียกำลังก็อยู่ในอาการสงบระงับ  เป็นการเข้าสมาธิอย่างยิ่ง  จนถึงขั้นหายใจก็เกือบจะไม่หายใจ  คือ หายใจน้อยที่สุด  ส่วนอาหารและน้ำน้ัน หยุดกินโดยสิ้นเชิงจนกว่าฝนจะตกลงมาใหม่ในฤดูฝน  เมื่อฝนแรกตกลงมาวันใด  จึงหยุดการจำศีลออกหากินต่อไปใหม่อีกคราวหนึ่ง 
     คราวน้ันตกข้างขึ้นเดือนสี่  เจ้าสัตว์ทั้งสามนี้ก็ล่วงรู้โดยปัญญาญาณว่าน้ำในลำธารแห้งขอดแล้ว  ปีนี้น้ำในลำธารแห้งขอดเร็วกว่าทุกปี  มีอากาศร้อนจัด อากาศแห้งมาก เพราะอากาศขาดน้ำ ด้วยป่าไม้ถูกทำลายลงไปมาก  จึงขาดลักษณะอันเป็นสื่อให้หมอกและน้ำฝนตกลงมาบนภูเขา   แล้วหลั่งไหลมาตามลำธารเหมือนปีก่อนๆ 
     เจ้าสัตว์สามมิตร  จึงมาพบกันเป็นครั้งสุดท้ายที่ชายตลิ่งริมธารแห่งน้ัน 
     คางคกพูดขึ้นก่อนว่า บัดนี้ถึงเวลาที่เราจะต้องจำศีล อดน้ำ อดอาหาร หยุดการเคลื่อนไหวกันแล้ว
    กบพูดว่า  ถูกแล้วปีนี้พระผู้เป็นเจ้ากำหนดให้เราต้องจำศีลกันเร็วขึ้นกว่าทุกปีมา  เพราะน้ำในลำธารแห้งขอดแล้ว
     สังข์พูดว่า ถึงแม้พระผู้เป็นเจ้าจะกำหนดให้เราจำศีลเร็วขึ้น  พระผู้เป็นเจ้าก็คงกรุณาสร้างน้ำฝนลงจากฟ้าเร็วขึ้นเหมือนกัน
     คางคกพูดว่า ใช่แล้ว พระผู้เป็นเจ้าทรงมีความกรุณาเราอยู่ตลอดมา เราไม่ต้องวิตกกันไปนัก
     สังข์พูดว่า "ในระหว่างเวลาจำศีลนี้ เราก็จะไม่ได้พบกันเลย  เมื่อฝนตกลงมาเมื่อไรเราจึงจะได้พบหน้ากันใหม่  แต่มันไม่แน่นอนเสมอไป เราทั้งสามอาจจะได้พบหน้ากันเป็นคร้ังสุดท้าย ถ้าหากฝนตกใหม่  ไม่มีใครกลับมาก็อย่าห่วงอาลัยเลย  เพราะเราได้กลายเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ กลับคืนไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าเรียบร้อยแล้ว"
     คร้ันคางคกกับกบได้ฟังแล้วก็เริ่มใช้เท้าหลังขุดดินออ่นริมลำธาร เท้าหน้าตะกุยดินออกถอยหลังเข้าในดินจมมิดตัวมิดหัว  ใช้ดินที่ขุดคุ้ยออกมาปิดช่องประตูดินเสียให้สนิท  ไม่มีสัตว์ใดจะเห็นได้แล้วก็นอนนิ่งหลับตาสงบจิตอยู่ ณ ที่น้ัน  เป็นการจำศีลเข้าสมาธิอย่างสูงสุด  ดังที่เคยปฎิบัติกันตามธรรมเนียมของสัตว์ตระกูลคางคกสืบมาชั่วกัปป์ชั่วกัลป์
     เจ้ากบก็ปฎิบัติเช่นเดียวกับคางคก  ตามประเพณีของสัตว์ตระกูลกบที่ถือปฎิบัติในการจำศีลภาวนาสืบต่อกันมาตลอดชั่วกัลป์ของตระกูลสัตว์ประเภทกบ  ซึ่งสัตว์อื่นหาได้รู้และเข้าใจไม่
     เจ้าหอยสังข์  ได้สงบนิ่งฟังเสียงอยู่จนสิ้นเสียงขุดดินก็รู้ได้ด้วยปัญญาญาณว่าเพื่อนสัตว์ทั้งสองจำศีลเรียบร้อยแล้ว   จึงได้ใช้ปากคีบเดินไปแสวงหาที่จำศีลของตนเองตามยถากรรม  เพราะไม่มีตีนเพื่อจะขุดคุ้ยดินให้เป็นช่องเป็นรูเข้ามุดอาศัยอยู่จำศีลได้เหมือนสัตว์ทั้งสอง  เจ้าหอยสังข์ต้องใช้ปากเดินไปจนถึงโคนต้นไม้ใหญ่แห่งหนึ่ง  เป็นโพรงมีอากาศเย็นมีใบไม้แห้งกองสุมอยู่  มันจึงเข้าหมกตัวอาศัยอยู่ในโพรงไม้และซุกซ่อนตัวอยู่ใต้กองใบไม้แห่งนั้น  เพื่อจำศึลอยู่อาศัยจนสิ้นฤดูแล้งจัด  ตามประสาสัตว์ เช่น หอยสังข์ เคยจำศีลกันมาชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ตามตระกูลหอยสังข์  ซึ่งสัตว์อื่นหาทราบไม่ สัตว์ทั้งสามซึ่งเป็นสหายรักจึงต่างคนต่างจำศีลกันไปตามยถากรรมของตน ซึ่งแม้แต่คนก็หาทราบไม่
     จนกระทั่งถึงเดือน ๖ ฝนแรกตกลงมาหลายห่าใหญ่  แผ่นดินชุ่มฉ่ำด้วยน้ำฝนไหลนอง  ตลิ่งลำธารก็มีน้ำซึมเข้าไปถึงตัวคางคกและตัวกบ  รู้สึกชุ่มฉ่ำ ดินอ่อนยุ่ยมันจึงขยับตัวใช้ตีนหน้าตะกุยดินใช้ตีนหลังผลักตัวออกมา จากช่องเฉพาะตัวที่มันจำศีลอยู่เกือบ ๒ เดือนเต็ม  ครั้นเคลื่อนตัวออกมาดื่มน้ำฝนแล้ว ร่างกายก็แข็งแรงขึ้น มันจึงกระโดดออกหาแมลงและสัตว์น้อยๆ กิน ให้มีกำลังกายแข็งเรงต่อไป  แล้วมันทั้งสองก็ได้พบกันทีริมธารแห่งนั้นเหมือนเดิม หายหน้าไปก็แต่เจ้าหอยสังข์ ยังไม่เห็นมันเดินมา
     เจ้าคางคกกับเจ้ากบ  ก็พากันกระโดดไปหากินและคิดถึงเจ้าหอยสังข์เพื่อนรักร่วมโลกของมันอยู่เสมอ
     วันหนึ่งมันกระโดดไปที่โคนต้นไม้ใหญ่ริมลำธาร  มันก็พบซากหอยสังข์นอนตายอยู่ที่กองขี้เถ้า  เพราะไฟป่าได้ไหม้ต้นไม้นั้นเหลือแต่ตอ  เจ้าหอยสังข์ทนไฟไม่ได้  มันจึงนอนตายเหลือแต่เปลือกกลิ้งอยู่  ในกองขึ้เถ้านั้นเอง
     เจ้าคางคกกับเจ้ากบเห็นแล้วมองตากันและกัน  นึกไปถึงถ้อยคำของเจ้าหอยสังข์ที่กล่าวในวันสุดท้ายที่เข้าจำศีลว่า "ถ้าหากฝนตกใหม่ ไม่มีใครกลับมาก็จงอย่าได้เป็นห่วงอาลัยเลย  เพราะเราได้กลายเป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ กลับคืนไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าเรียบร้อยแล้ว"
     เจ้าคางคกพูดว่า "ส่วนเราต้องกระโดดโลดเต้นต่อไป"
     เจ้าคางคกว่า "เราก็ต้องลำบากลำบนหากินต่อไป"
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  แม้แต่สัตว์ตัวน้อยๆ ก็จำศีลภาวนา และสัตว์ตัวน้อยๆน้ันก็มีชีวิตเป็นไปตามยถากรรม  แต่สัตว์ตัวน้อยๆนั้นก็มีธรรมะคุ้มครองใจ ส่วนคนเราเป็นสัตว์ประเสริฐจะเลวทรามกว่าสัตว์จำพวกคางคกทีเดียวหรือไฉน
๐๐๐๐๐๐๐๐

๓๗. เสียงกาเหว่าเร่าร้อง

     ยังมีนกกาเหว่าคู่หนึ่ง  มันทำรังอาศัยอยู่บนยอดไม้ใหญ่บนภูเขาลูกหนึ่งมานานแล้ว  วันหนึ่งมันเห็นพระธุดงค์องค์หนึ่งแบกกลดเดินทางมาปักกลดอยู่บนเชิงเขาลูกนั้น  มันบินไปหากินกลับมาตอนเย็นก็แลเห็นพระธุดงค์องค์นั้น  เดินจงกรมไปมาอยู่ที่ลาดเชิงเขาน้ันจนค่ำแล้ว  พระธุดงค์ก็หยุดเดินจงกรมเข้าอยู่ในกรดน้ัน 
     ครั้นตกดึก  มันได้ยินเสียงสัตว์เดินมาพร้อมทั้งได้กลิ่น มันก็รู้ว่าเสือร้ายมาหากินคอยตะครุบกัดกินสัตว์น้อยที่ออกหากินในป่าน้ัน  เช่น กระต่าย และหมาป่า  เป็นต้น  มันจึงส่งเสียงร้องอย่างกระชั้นว่า
     "เกว่า ๆ ๆ ๆ"  เป็นเชิง เตือนให้สัตว์ทั้งปวงตื่นขึ้นระวังภัยจากเสือร้าย
     พระธุดงค์องค์น้ันก็ตื่นขึ้นด้วยความระมัดระวังภัยโดยสวดมนต์ภาวนา ทำสมาธิแผ่เมตตา  แก่บรรดาสรรพสัตว์ผู้ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งหลายร่วมโลก เจ้ากาเหว่ามันก็รู้สึกถึงกระแสแห่งเมตตาจิตนั้นด้วยเหมือนกันโดยปัญญาญาณว่าพระธุดงค์องค์นี้ไม่มีเวรมีภัยแก่ผู้ใด  ทั้งยังแผ่จิตเมตตาแก่บรรดาสัตว์ด้วย
     คร้ันรุ่งอรุณแสงทองส่องฟ้า  พระอาทิตย์ส่องรัศมีมีสีนวลสว่างขึ้นมาทางทิศบูรพาทิศ  ยังไม่เห็นแสงอาทิตย์  แต่ก็มีแสงสีสว่างฟ้าด้วยสีอันสวยงามตา เจ้านกกาเหว่าก็เริ่มขึ้นว่า 
     "กาเหว่า - กาเว้า - กาเวิ้ว"
     เมื่อร้องเตือนเพื่อนสัตว์ในพงไพร  ให้ตื่นขึ้นจากรวงรัง เตรียมตัวออกหากินกันต่อไป  สัตว์ทั้งหลายเมื่อได้ยินเสียงของกาเหว่าร้องเตือนเป็นการบอกเวลาตื่นขึ้นมาหากินก็พากันขยับตัวขยับปีกที่ขยันก็เริ่มโผผินบินออกจากรังไปหากิน
     พระธุดงค์เมื่อได้ยินเสียงของนกกาเหว่าร้องเตือนรุ่งอรุณก็ลุกขึ้นสวดมนต์ภาวนาทำสมาธิอันเป็นกิจวัตร   พลางก็แผ่เมตตาจิตให้แก่บรรดาสรรพสัตว์ร่วมเกิดแก่เจ็บตาย
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่้งปวงในโลกนี้ ล้วนแต่เกิดมาเป็นเพื่อนร่วมโลก ร่วมชีวิต ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น  จึงไม่ควรจะเบียดเบียนทำร้ายมีภัยมีเวรแก่กันและกันเลย 
๐๐๐๐๐๐๐๐

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น