๓๕. ไก่ต่อไก่เถื่อน
ไกเถื่อนฝูงหนึ่ง อาศัยอยู่ในป่ามันมีไกตัวผู้ตัวหนึ่งเป็นหัวหน้าฝูง คอยต่อสู้คอยระมัดระวังภัย คอยคุ้มครองป้องกันไก่ตัวเมีย และไก่เล็กไก่อ่อนอยู่เสมอมา
วันหนึ่งนักต่อไก่ป่าคนหนึ่งพบเข้า จึงไปเอาไก่แจ้มาเลี้ยงไว้จนเชื่องดี แล้วก็ทำ "ครึน" เครื่องดักไก่ป่าเข้าเป็นเชือกบ่วง วางไว้กับพื้นหญ้า ถ้าไก่ป่าเดินมาสะดุดเข้าเชือกนั้นมีหูรูด ก็จะรูดเอาตีนไก่ติดหลักที่ปักไว้ ไก่ก็ดิ้นไม่หลุด คนก็จับเอาไก่ป่ามาฆ่าแกงกินเป็นอาหารได้
พรานครึนนักต่อไก่ป่า ลอบเอาไก่ต่อไปปักหลักผูกขาไว้ ณ บริเวณชายป่า แล้ววางครึนคือบ่วงไก่ไว้กับพื้นหญ้า แล้วแอบซุ่มอยู่ชายป่า คร้ันได้เวลาหากิน เจ้าไก่ป่าก็พาฝูงไก่ออกหากิน เมื่อมาพบไก่ต่ออยู่กลางแปลง จีงพากันเข้ามาหา เพื่อจะดูวา่เป็นไก่ป่าพวกเดียวกันหรือไก่ป่าอื่นแปลกปลอมล่วงถิ่นเข้ามา เมื่อไก่ป่าเจ้าถิ่นเห็นว่าไม่ใช่ไก่ป่าเดียวกันจึงเข้าจิกตี ไก่ตัวเมียก็จึงเข้ามาดู ทันใดนั้นเองตีนก็ปะเตะเอาครึนเข้า ขาเข้าไปติดอยู่ในบ่วง ดิ้นไม่หลุด ไก่อื่นรุมกันเข้ามาช่วยจิก เลยติดครึนเข้า คร้ันแล้วไก่อื่นก็ตกใจหนีไปทิ้งไก่ที่ติดครึนนอนอยู่ เจ้าพรานไก่นักต่อไก่ก็เข้ามาจับเอาไปฆ่าแกงกิน
เมื่อพรานเข้ามาจับตัวมัน มันก็ดิ้นรนให้พ้นมือแล้วก็ส่งเสียงร้องว่า "ลูกเอ๋ย ระวังไก่แปลกหน้าให้ดี"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าไว้ใจคนแปลกหน้า ให้พินิจพิจารณาสิ่งที่ผิดปกติธรรมดาให้จงดี
๐๐๐๐๐๐๐๐
๓๖. หอยสังข์จำศีล
ในกาลครั้งหนึ่ง สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นชายป่า มีลำธารไหลผ่านต้นไม้ใบหญ้าเขียวชะอุ่มชุ่มเย็น สัตว์สองเท้า สี่เท้า และสัตว์เลี้อยคลานตลอดจนนกหนูในป่านั้น ก็อยู่อาศัยมาด้วยความผาสุกตามอัตภาพของตน ด้วยอาหาร น้ำ และอากาศธรรมชาติ จะมีภัยจากมนุษย์และสัตว์ร้ายตลอดจนภัยธรรมชาติ เช่น อุทกภัย วาตภัย อัคคีภัย ก็คอยหลบหลีกรักษาตัวเอาเอง ก็เป็นอยู่ดั่งนี้โดยเท่าเทียมกันทั้วหน้า บรรดาสัตว์ทั้งหลายในป่านั้นล้วนแต่เกิดมามีชีวิตอยู่เติบโต แล้วก็ล้มตายจากกันไปตามธรรมดาด้วยความชรา หรือถูกสัตว์อื่นมาเบียดเบียนบ้าง ยังมีชีวิตอยู่ก็ออกหากินกันไป สมสู่สืบพันธ์ุกันไป หมุนเวียนอยู่ตามยถากรรมเช่นนี้
คร้้งนั้นยังมีสัตว์ ๓ ชนิด เป็นมิตรสหายกัน คือ คางคก กบ และหอยสังข์ เพราะอาศัยอยู่ด้วยกันและไม่เป็นเวรภัยแก่กัน
คร้ันถึงฤดูแล้งเดือนสี่เดือนห้า เมื่อน้ำในลำธารงวดลง อาหารฝืดเคืองเจ้าสัตว์ทั้งสามก็จะจำศึลชั่วคราวเป็นเวลา ๑ เดือน ๒ เดือน รอเวลาฝนตกใหม่จึงออกหากินต่อไป ระหว่างเวลาจำศีลนี้ก็จะหยุดออกหากินหยุดการเดินทางหยุดการเคลื่อนไหวใดๆ หมดทั้งสิ้น ขุดรูเข้าไปนอนอยู่ในดิน นอนอยู่นิ่งตลอดเวลา เมื่อร่างกายมิได้ใช้กำลังไม่เสียกำลังก็อยู่ในอาการสงบระงับ เป็นการเข้าสมาธิอย่างยิ่ง จนถึงขั้นหายใจก็เกือบจะไม่หายใจ คือ หายใจน้อยที่สุด ส่วนอาหารและน้ำน้ัน หยุดกินโดยสิ้นเชิงจนกว่าฝนจะตกลงมาใหม่ในฤดูฝน เมื่อฝนแรกตกลงมาวันใด จึงหยุดการจำศีลออกหากินต่อไปใหม่อีกคราวหนึ่ง
คราวน้ันตกข้างขึ้นเดือนสี่ เจ้าสัตว์ทั้งสามนี้ก็ล่วงรู้โดยปัญญาญาณว่าน้ำในลำธารแห้งขอดแล้ว ปีนี้น้ำในลำธารแห้งขอดเร็วกว่าทุกปี มีอากาศร้อนจัด อากาศแห้งมาก เพราะอากาศขาดน้ำ ด้วยป่าไม้ถูกทำลายลงไปมาก จึงขาดลักษณะอันเป็นสื่อให้หมอกและน้ำฝนตกลงมาบนภูเขา แล้วหลั่งไหลมาตามลำธารเหมือนปีก่อนๆ
เจ้าสัตว์สามมิตร จึงมาพบกันเป็นครั้งสุดท้ายที่ชายตลิ่งริมธารแห่งน้ัน
คางคกพูดขึ้นก่อนว่า บัดนี้ถึงเวลาที่เราจะต้องจำศีล อดน้ำ อดอาหาร หยุดการเคลื่อนไหวกันแล้ว
กบพูดว่า ถูกแล้วปีนี้พระผู้เป็นเจ้ากำหนดให้เราต้องจำศีลกันเร็วขึ้นกว่าทุกปีมา เพราะน้ำในลำธารแห้งขอดแล้ว
สังข์พูดว่า ถึงแม้พระผู้เป็นเจ้าจะกำหนดให้เราจำศีลเร็วขึ้น พระผู้เป็นเจ้าก็คงกรุณาสร้างน้ำฝนลงจากฟ้าเร็วขึ้นเหมือนกัน
คางคกพูดว่า ใช่แล้ว พระผู้เป็นเจ้าทรงมีความกรุณาเราอยู่ตลอดมา เราไม่ต้องวิตกกันไปนัก
สังข์พูดว่า "ในระหว่างเวลาจำศีลนี้ เราก็จะไม่ได้พบกันเลย เมื่อฝนตกลงมาเมื่อไรเราจึงจะได้พบหน้ากันใหม่ แต่มันไม่แน่นอนเสมอไป เราทั้งสามอาจจะได้พบหน้ากันเป็นคร้ังสุดท้าย ถ้าหากฝนตกใหม่ ไม่มีใครกลับมาก็อย่าห่วงอาลัยเลย เพราะเราได้กลายเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ กลับคืนไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าเรียบร้อยแล้ว"
คร้ันคางคกกับกบได้ฟังแล้วก็เริ่มใช้เท้าหลังขุดดินออ่นริมลำธาร เท้าหน้าตะกุยดินออกถอยหลังเข้าในดินจมมิดตัวมิดหัว ใช้ดินที่ขุดคุ้ยออกมาปิดช่องประตูดินเสียให้สนิท ไม่มีสัตว์ใดจะเห็นได้แล้วก็นอนนิ่งหลับตาสงบจิตอยู่ ณ ที่น้ัน เป็นการจำศีลเข้าสมาธิอย่างสูงสุด ดังที่เคยปฎิบัติกันตามธรรมเนียมของสัตว์ตระกูลคางคกสืบมาชั่วกัปป์ชั่วกัลป์
เจ้ากบก็ปฎิบัติเช่นเดียวกับคางคก ตามประเพณีของสัตว์ตระกูลกบที่ถือปฎิบัติในการจำศีลภาวนาสืบต่อกันมาตลอดชั่วกัลป์ของตระกูลสัตว์ประเภทกบ ซึ่งสัตว์อื่นหาได้รู้และเข้าใจไม่
เจ้าหอยสังข์ ได้สงบนิ่งฟังเสียงอยู่จนสิ้นเสียงขุดดินก็รู้ได้ด้วยปัญญาญาณว่าเพื่อนสัตว์ทั้งสองจำศีลเรียบร้อยแล้ว จึงได้ใช้ปากคีบเดินไปแสวงหาที่จำศีลของตนเองตามยถากรรม เพราะไม่มีตีนเพื่อจะขุดคุ้ยดินให้เป็นช่องเป็นรูเข้ามุดอาศัยอยู่จำศีลได้เหมือนสัตว์ทั้งสอง เจ้าหอยสังข์ต้องใช้ปากเดินไปจนถึงโคนต้นไม้ใหญ่แห่งหนึ่ง เป็นโพรงมีอากาศเย็นมีใบไม้แห้งกองสุมอยู่ มันจึงเข้าหมกตัวอาศัยอยู่ในโพรงไม้และซุกซ่อนตัวอยู่ใต้กองใบไม้แห่งนั้น เพื่อจำศึลอยู่อาศัยจนสิ้นฤดูแล้งจัด ตามประสาสัตว์ เช่น หอยสังข์ เคยจำศีลกันมาชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ตามตระกูลหอยสังข์ ซึ่งสัตว์อื่นหาทราบไม่ สัตว์ทั้งสามซึ่งเป็นสหายรักจึงต่างคนต่างจำศีลกันไปตามยถากรรมของตน ซึ่งแม้แต่คนก็หาทราบไม่
จนกระทั่งถึงเดือน ๖ ฝนแรกตกลงมาหลายห่าใหญ่ แผ่นดินชุ่มฉ่ำด้วยน้ำฝนไหลนอง ตลิ่งลำธารก็มีน้ำซึมเข้าไปถึงตัวคางคกและตัวกบ รู้สึกชุ่มฉ่ำ ดินอ่อนยุ่ยมันจึงขยับตัวใช้ตีนหน้าตะกุยดินใช้ตีนหลังผลักตัวออกมา จากช่องเฉพาะตัวที่มันจำศีลอยู่เกือบ ๒ เดือนเต็ม ครั้นเคลื่อนตัวออกมาดื่มน้ำฝนแล้ว ร่างกายก็แข็งแรงขึ้น มันจึงกระโดดออกหาแมลงและสัตว์น้อยๆ กิน ให้มีกำลังกายแข็งเรงต่อไป แล้วมันทั้งสองก็ได้พบกันทีริมธารแห่งนั้นเหมือนเดิม หายหน้าไปก็แต่เจ้าหอยสังข์ ยังไม่เห็นมันเดินมา
เจ้าคางคกกับเจ้ากบ ก็พากันกระโดดไปหากินและคิดถึงเจ้าหอยสังข์เพื่อนรักร่วมโลกของมันอยู่เสมอ
วันหนึ่งมันกระโดดไปที่โคนต้นไม้ใหญ่ริมลำธาร มันก็พบซากหอยสังข์นอนตายอยู่ที่กองขี้เถ้า เพราะไฟป่าได้ไหม้ต้นไม้นั้นเหลือแต่ตอ เจ้าหอยสังข์ทนไฟไม่ได้ มันจึงนอนตายเหลือแต่เปลือกกลิ้งอยู่ ในกองขึ้เถ้านั้นเอง
เจ้าคางคกกับเจ้ากบเห็นแล้วมองตากันและกัน นึกไปถึงถ้อยคำของเจ้าหอยสังข์ที่กล่าวในวันสุดท้ายที่เข้าจำศีลว่า "ถ้าหากฝนตกใหม่ ไม่มีใครกลับมาก็จงอย่าได้เป็นห่วงอาลัยเลย เพราะเราได้กลายเป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ กลับคืนไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าเรียบร้อยแล้ว"
เจ้าคางคกพูดว่า "ส่วนเราต้องกระโดดโลดเต้นต่อไป"
เจ้าคางคกว่า "เราก็ต้องลำบากลำบนหากินต่อไป"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า แม้แต่สัตว์ตัวน้อยๆ ก็จำศีลภาวนา และสัตว์ตัวน้อยๆน้ันก็มีชีวิตเป็นไปตามยถากรรม แต่สัตว์ตัวน้อยๆนั้นก็มีธรรมะคุ้มครองใจ ส่วนคนเราเป็นสัตว์ประเสริฐจะเลวทรามกว่าสัตว์จำพวกคางคกทีเดียวหรือไฉน
๓๗. เสียงกาเหว่าเร่าร้อง
คร้ันคางคกกับกบได้ฟังแล้วก็เริ่มใช้เท้าหลังขุดดินออ่นริมลำธาร เท้าหน้าตะกุยดินออกถอยหลังเข้าในดินจมมิดตัวมิดหัว ใช้ดินที่ขุดคุ้ยออกมาปิดช่องประตูดินเสียให้สนิท ไม่มีสัตว์ใดจะเห็นได้แล้วก็นอนนิ่งหลับตาสงบจิตอยู่ ณ ที่น้ัน เป็นการจำศีลเข้าสมาธิอย่างสูงสุด ดังที่เคยปฎิบัติกันตามธรรมเนียมของสัตว์ตระกูลคางคกสืบมาชั่วกัปป์ชั่วกัลป์
เจ้ากบก็ปฎิบัติเช่นเดียวกับคางคก ตามประเพณีของสัตว์ตระกูลกบที่ถือปฎิบัติในการจำศีลภาวนาสืบต่อกันมาตลอดชั่วกัลป์ของตระกูลสัตว์ประเภทกบ ซึ่งสัตว์อื่นหาได้รู้และเข้าใจไม่
เจ้าหอยสังข์ ได้สงบนิ่งฟังเสียงอยู่จนสิ้นเสียงขุดดินก็รู้ได้ด้วยปัญญาญาณว่าเพื่อนสัตว์ทั้งสองจำศีลเรียบร้อยแล้ว จึงได้ใช้ปากคีบเดินไปแสวงหาที่จำศีลของตนเองตามยถากรรม เพราะไม่มีตีนเพื่อจะขุดคุ้ยดินให้เป็นช่องเป็นรูเข้ามุดอาศัยอยู่จำศีลได้เหมือนสัตว์ทั้งสอง เจ้าหอยสังข์ต้องใช้ปากเดินไปจนถึงโคนต้นไม้ใหญ่แห่งหนึ่ง เป็นโพรงมีอากาศเย็นมีใบไม้แห้งกองสุมอยู่ มันจึงเข้าหมกตัวอาศัยอยู่ในโพรงไม้และซุกซ่อนตัวอยู่ใต้กองใบไม้แห่งนั้น เพื่อจำศึลอยู่อาศัยจนสิ้นฤดูแล้งจัด ตามประสาสัตว์ เช่น หอยสังข์ เคยจำศีลกันมาชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ตามตระกูลหอยสังข์ ซึ่งสัตว์อื่นหาทราบไม่ สัตว์ทั้งสามซึ่งเป็นสหายรักจึงต่างคนต่างจำศีลกันไปตามยถากรรมของตน ซึ่งแม้แต่คนก็หาทราบไม่
จนกระทั่งถึงเดือน ๖ ฝนแรกตกลงมาหลายห่าใหญ่ แผ่นดินชุ่มฉ่ำด้วยน้ำฝนไหลนอง ตลิ่งลำธารก็มีน้ำซึมเข้าไปถึงตัวคางคกและตัวกบ รู้สึกชุ่มฉ่ำ ดินอ่อนยุ่ยมันจึงขยับตัวใช้ตีนหน้าตะกุยดินใช้ตีนหลังผลักตัวออกมา จากช่องเฉพาะตัวที่มันจำศีลอยู่เกือบ ๒ เดือนเต็ม ครั้นเคลื่อนตัวออกมาดื่มน้ำฝนแล้ว ร่างกายก็แข็งแรงขึ้น มันจึงกระโดดออกหาแมลงและสัตว์น้อยๆ กิน ให้มีกำลังกายแข็งเรงต่อไป แล้วมันทั้งสองก็ได้พบกันทีริมธารแห่งนั้นเหมือนเดิม หายหน้าไปก็แต่เจ้าหอยสังข์ ยังไม่เห็นมันเดินมา
เจ้าคางคกกับเจ้ากบ ก็พากันกระโดดไปหากินและคิดถึงเจ้าหอยสังข์เพื่อนรักร่วมโลกของมันอยู่เสมอ
วันหนึ่งมันกระโดดไปที่โคนต้นไม้ใหญ่ริมลำธาร มันก็พบซากหอยสังข์นอนตายอยู่ที่กองขี้เถ้า เพราะไฟป่าได้ไหม้ต้นไม้นั้นเหลือแต่ตอ เจ้าหอยสังข์ทนไฟไม่ได้ มันจึงนอนตายเหลือแต่เปลือกกลิ้งอยู่ ในกองขึ้เถ้านั้นเอง
เจ้าคางคกกับเจ้ากบเห็นแล้วมองตากันและกัน นึกไปถึงถ้อยคำของเจ้าหอยสังข์ที่กล่าวในวันสุดท้ายที่เข้าจำศีลว่า "ถ้าหากฝนตกใหม่ ไม่มีใครกลับมาก็จงอย่าได้เป็นห่วงอาลัยเลย เพราะเราได้กลายเป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ กลับคืนไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าเรียบร้อยแล้ว"
เจ้าคางคกพูดว่า "ส่วนเราต้องกระโดดโลดเต้นต่อไป"
เจ้าคางคกว่า "เราก็ต้องลำบากลำบนหากินต่อไป"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า แม้แต่สัตว์ตัวน้อยๆ ก็จำศีลภาวนา และสัตว์ตัวน้อยๆน้ันก็มีชีวิตเป็นไปตามยถากรรม แต่สัตว์ตัวน้อยๆนั้นก็มีธรรมะคุ้มครองใจ ส่วนคนเราเป็นสัตว์ประเสริฐจะเลวทรามกว่าสัตว์จำพวกคางคกทีเดียวหรือไฉน
๐๐๐๐๐๐๐๐
๓๗. เสียงกาเหว่าเร่าร้อง
ยังมีนกกาเหว่าคู่หนึ่ง มันทำรังอาศัยอยู่บนยอดไม้ใหญ่บนภูเขาลูกหนึ่งมานานแล้ว วันหนึ่งมันเห็นพระธุดงค์องค์หนึ่งแบกกลดเดินทางมาปักกลดอยู่บนเชิงเขาลูกนั้น มันบินไปหากินกลับมาตอนเย็นก็แลเห็นพระธุดงค์องค์นั้น เดินจงกรมไปมาอยู่ที่ลาดเชิงเขาน้ันจนค่ำแล้ว พระธุดงค์ก็หยุดเดินจงกรมเข้าอยู่ในกรดน้ัน
ครั้นตกดึก มันได้ยินเสียงสัตว์เดินมาพร้อมทั้งได้กลิ่น มันก็รู้ว่าเสือร้ายมาหากินคอยตะครุบกัดกินสัตว์น้อยที่ออกหากินในป่าน้ัน เช่น กระต่าย และหมาป่า เป็นต้น มันจึงส่งเสียงร้องอย่างกระชั้นว่า
"เกว่า ๆ ๆ ๆ" เป็นเชิง เตือนให้สัตว์ทั้งปวงตื่นขึ้นระวังภัยจากเสือร้าย
พระธุดงค์องค์น้ันก็ตื่นขึ้นด้วยความระมัดระวังภัยโดยสวดมนต์ภาวนา ทำสมาธิแผ่เมตตา แก่บรรดาสรรพสัตว์ผู้ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งหลายร่วมโลก เจ้ากาเหว่ามันก็รู้สึกถึงกระแสแห่งเมตตาจิตนั้นด้วยเหมือนกันโดยปัญญาญาณว่าพระธุดงค์องค์นี้ไม่มีเวรมีภัยแก่ผู้ใด ทั้งยังแผ่จิตเมตตาแก่บรรดาสัตว์ด้วย
คร้ันรุ่งอรุณแสงทองส่องฟ้า พระอาทิตย์ส่องรัศมีมีสีนวลสว่างขึ้นมาทางทิศบูรพาทิศ ยังไม่เห็นแสงอาทิตย์ แต่ก็มีแสงสีสว่างฟ้าด้วยสีอันสวยงามตา เจ้านกกาเหว่าก็เริ่มขึ้นว่า
"กาเหว่า - กาเว้า - กาเวิ้ว"
เมื่อร้องเตือนเพื่อนสัตว์ในพงไพร ให้ตื่นขึ้นจากรวงรัง เตรียมตัวออกหากินกันต่อไป สัตว์ทั้งหลายเมื่อได้ยินเสียงของกาเหว่าร้องเตือนเป็นการบอกเวลาตื่นขึ้นมาหากินก็พากันขยับตัวขยับปีกที่ขยันก็เริ่มโผผินบินออกจากรังไปหากิน
พระธุดงค์เมื่อได้ยินเสียงของนกกาเหว่าร้องเตือนรุ่งอรุณก็ลุกขึ้นสวดมนต์ภาวนาทำสมาธิอันเป็นกิจวัตร พลางก็แผ่เมตตาจิตให้แก่บรรดาสรรพสัตว์ร่วมเกิดแก่เจ็บตาย
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่้งปวงในโลกนี้ ล้วนแต่เกิดมาเป็นเพื่อนร่วมโลก ร่วมชีวิต ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จึงไม่ควรจะเบียดเบียนทำร้ายมีภัยมีเวรแก่กันและกันเลย
๐๐๐๐๐๐๐๐
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น