๒๖. อึ่งอ่างพองลม
คืนวันหนึ่ง หลังจากฝนตกใหญ่ซาเม็ดลงแล้ว อึ่งอ่างซึ่งฝังตัวอยู่ในดินขอบสระน้ำก็ออกจากดินขึ้นมาร้องเซ็งแซ่อยู่ริมสระ กบเขียดส่งเสียงร้องขรมอยู่ในบริเวณน้ำขังรอบสระน้ำด้วยกัน
ขณะน้ันกบตัวผู้ตัวหนึ่ง ก็กระโดดไปหากบตัวเมีย เพื่อหาคู่ผสมพันธ์ุกันตามธรรมดาของสัตว์ เผอิญไปพบอึ่งอ่างตัวหนึ่ง กำลังร้องอึ่งอ่างครางหาคู่ของมันอยู่เหมือนกัน ครั้นกบกระโดดเข้าใกล้ อึ่งอ่างก็สูดลมหายใจเข้าปอดเต็มแรงแล้วก็พองตัวโตขึ้นกว่าปกติธรรมดา ๑ เท่าตัว แต่ถึงกระนั้นตัวอึ่งอ่างก็ยังเล็กกว่ากบตัวโต ๑ เท่า ครั้นกบเห็นดังนั้นจึงหัวเราะแล้วพูดขึ้นว่า
"เจ้าอึ่งอ่างเอ๋ย ถึงเจ้าจะพองตัวจนเต็มที่แล้ว ตัวเจ้าก็ยังเล็กกว่าเราอยู่นั่นเอง เจ้าจะเบ่งพองลมไปทำไม ข้าไม่นึกหวาดหวั่นเจ้าเลยแม้แต่น้อย"
เจ้าอึ่งอ่างครั้นได้ยินกบตัวโตพูดสบประมาทดังน้ัน จึงร้องตอบว่า
"เจ้ากบโง่ ถึงตัวเจ้าโต เจ้าก็ยังโง่เง่าอยู่นั่นเอง"
กบโกรธจึงร้องขู่ถามว่า
"เจ้าว่าเราโง่ได้อย่างไร เราฉลาดกว่าเจ้าสักร้อยเท่า"
" เจ้าจะฉลาดตรงไหนเล่า เพราะเจ้าหารู้ไม่ว่าเราพองลมด้วยเหตุผลอันใด"
"ก็พองลมเพื่อว่าจะอวดว่าตัวโตนั่นเอง ทำไมเราจะไม่รู้สัตว์อื่น ๆเขาก็รู้กันว่าอึ่งอ่างพองลมเพราะอวดเก่งเท่านั้น"
"สัตว์อะไรอีกละ ที่พูดว่าเราพองตัวเพื่ออวดเก่ง?"
"สัตว์มนุษย์ไงล่ะ เราได้ยินเขาพูดกันเสมอๆ ว่าอึ่งอ่างพองลมเพื่ออวดเก่ง เห็นวัวเดินมาก็พองลมจนท้องแตกตาย"
"สัตว์มนุษย์ไม่นาจะพูดโง่ๆอย่างน้ัน"
"ก็จริงไหมล่ะ?"
"ไม่จริงเลย"
"งั้นเจ้าพองลม สูดลมเข้าปอดมาก เพื่ออะไรเล่ารึ"
"เราสูดลมเข้าปอดมากก็เพราะเรารู้สึกกลัว เราจึงสูดลมเข้าปอดให้มากที่สุดเพื่อทำใจให้เข้มแข็ง แล้วไม่หวาดกลัวภัย"
"แล้วได้ผลเป็นอย่างไร?"
"ก็ได้ผลดีมาก คือใจเราก็เป็นปกติ ไม่วิตกหวาดหวั่นภัยอันตรายจนต้องกระโดดหนีภัย เหมือนสัตว์ประเภทกบอย่างท่าน ในเวลาเดียวกันสัตว์ที่อ้าปากจะกลืนกินเรา ก็ขบเราไม่ลงเพราะผิวหนังเราเมื่อลมเข้าไปอยู่ในท้องมากๆ ก็พองเหมือนลูกโป่ง และมีความลื่นคาบเราไปไม่ได้ เราก็ปลอดภัยจากสัตว์ที่จะกลืนกินเรา เช่น งู เป็นต้น จงจำไว้เถิดเจ้าสัตว์โง่ว่าเราพองลมเพื่อความปลอดภัยของเราต่างหาก"
นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า ไม่มีใครรู้จิตใจของผู้อื่นดีเท่าตัวเขาเอง ถ้าหากเราเป็นเช่นเขา เอาใจเราไปใส่ใจเขา เราจึงจะรู้จักจิตใจของผู้อื่นดีขึ้น
๐๐๐๐๐๐๐๐
๒๗. หิ่งห้อยส่องแสง
เย็นวันหนึ่ง ฝนตกใหญ่จนค่ำ ที่ริมคลองแห่งหนึ่ง มีต้นลำพูขึ้นอยู่ริมฝั่งเป็นแถว ผีเสื้อตัวหนึ่งบินเที่ยวตอมกลีบดอกไม้ คร้ันถูกฝนก็เกาะนิ่งอยู่ที่ต้นลำพูน้ันจนถึงกลางคืน คืนน้ันเดือนมืดจึงเห็นแสงสว่างพราวอยู่ตามต้นลำพูนั้นเป็นอันมาก เป็นที่ประหลาดตาไม่เคยพบเห็นมาก่อน จึงเพ่งมองไปตามแสงที่ส่องสว่างพราวเหล่าน้ัน ก็เห็นมันเคลื่อนที่ไปมาได้ด้วย เจ้าผีเสื้อแสนสวยนั้นอัศจรรย์ใจนัก เมื่อเห็นสัตว์น้อยๆเคลื่อนที่เห็นได้ที่ก้นของมันมีแสงพราวสุกสว่างจับตาเหมือนดังว่าแสงดาวดวงน้อยๆ ผีเสื้อรำพึงในใจว่าเกิดมาเป็นผีเสื้อแสนสวยอย่างตัวเรา โลกก็ชื่นชมนักหนาว่ามีปีกแสนสวยเหมือนอย่างนางฟ้า แต่เห็นทีว่าจะต้องพ่ายแพ้แก่เจ้าสัตว์ที่มองเห็นปีกอันแสนสวยของเราก็หาไม่ แต่เจ้าสัตว์ตัวน้อยๆ เหล่านี้กลับมีแสงสีส่องออกมาจากร่างกายเป็นสีนวลสว่างแพรวพราวตายิ่งนัก ผีเสื้อรู้สึกอิจฉาอยู่ในใจจึงร้องทักไปว่า
"ดูก่อน เจ้าสัตว์น้อย ตัวเจ้ามีนามกรว่าอะไรเล่าจึงเที่ยวเร่ร่อนริมดินในยามค่ำคืนเช่นนี้?"
"อ้อ เราหรือเขาเรียกชื่อเราว่า หิ่งห้อย"
"เจ้าไปเอาแสงรัศมีอันแพรวพราวนี้มาแต่ไหน?"
"อ๋อ แสงสว่างที่ผิวกายของเราน่ะหรือ มันก็เกิดขึ้นมาโดยพระบัญชาของพระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์ เพราะเราต้องหากินในเวลากลางคืน เราต้องการแสงสว่างส่องทาง พระผู้เป็นเจ้าทรงสงสารเรา จึงสร้างแสงให้ ติดตามร่างกายของเราต้ังแต่เกิดจึงไม่ยากอะไรหรอก เพียงพระผู้เป็นเจ้าเอาธาตุชนิดหนึ่งมาทาไว้ ครั้นกระทบกับอากาศเข้าก็เรืองแสงออกมาได้เอง"
"แสงนี้มีประโยชน์ใช้ส่องหนทางเท่าน้้นหรือ?"
"ยังมีคุณประโยชน์อีกอย่างหนึ่งคือเป็นอาวุธป้องกันตัวเราด้วย"
"แสงสว่างเป็นอาวุธป้องกันตัวได้อย่างไร?"
"เมื่อสัตว์บางชนิดเห็นแสงเรืองที่ร่างกายเราก็จะตกตะลึงพรึงเพริดเกิดความแปลกประหลาดอัศจรรย์ ไม่กล้าเข้าใกล้ตัวเรา เราก็หากินได้โดยปลอดภัย"
"แต่ตัวเราไม่มีอาวุธเหมือนเจ้า พระผู้เป็นเจ้าทำไมลำเอียงนักเล่า?"
เจ้าหิ่งห้อยเพ่งมองไปที่ปีกผีเสื้อแสนสวยด้วยความอัศจรรย์ใจ เมื่อต้องแสงสว่างเรืองจากหิ่งห้อย ก็ยิ่งแลดูพร้อย งดงามตาเหมือนดังว่าสัตว์จากโลกทิพย์ จึงพูดว่า
"ถ้าจะวาพระผู้เป็นเจ้าลำเอียงก็ลำเอียงจริง เพราะพระเจ้าให้สีสันสวยสดงดงามแก่ร่างกายเจ้า มองดูแล้วน่าเพลิดเพลินเจริญใจนักหนา ส่วนเราสิท่านให้มาแต่แสงสว่างนวลพราวอย่างเดียวเท่าน้ัน ถ้าหาพระผู้เป็นเจ้าสร้างให้เรามีแสงเขียว แดง เหลือง ดำ ขาว อย่างเจ้าบ้าง เราจะดีใจเหลือเกิน"
ส่วนงูเขียวหางไหม้ที่เกาะนิ่งอยู่ที่กิ่งต้นลำพูน้้น เพ่งมองดูหิ่งห้อยและผีเสื้อแสนสวย ก็นิ่งตะลึงอยู่ จนไม่รู้สึกอยากจะฉกกัดกินทั้งหิ่งห้อยและผีเสื้อแสนสวยน้ันเลย
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า แสงสว่างแพรวพราวและสีอันสดสวย นอกจากประดับโลกให้สวยงามแล้ว ยังเป็นอาวุธป้องกันตัวเองได้ด้วย พระเจ้าสร้างสัตว์มาให้เป็นประโยชน์ตนและประโยชน์แก่โลกด้วยเสมอ เว้นแต่สัตว์ผู้โง่เขลาไม่รู้จักคุณค่าของตัวเองเท่าน้ัน
๐๐๐๐๐๐๐๐
๒๘. นกยูงรำแพนหาง
มีพฤกษเทวาองค์หนึ่ง อาศัยอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ในป่าสูง วันหนึ่งมีเทวดาองค์ใหม่จุติมาเกิดเป็นพฤกษเทวดา เทวดาองค์ก่อนจึงพาเทวดาใหม่เดินเที่ยวชมไพร ก็แลเห็นนกยูงตัวหนึ่งชื่อ โมริยะ อาศัยอยู่ในป่าสูงด้วยความสุขเกษมสำราญ ไม่มีสัตว์ร้ายหรือสัตว์มนุษย์รบกวนทำลาย วันหนึ่งมันเดินเล่นอยู่ตามพื้นหญ้าบนเนินเขา ซึงมีต้นไม้ใหญ่น้อย งอกงามออกดอกสะพรั่งสวยงามตายิ่งนัก เจ้านกยูงโมริยะมีความประมาท จึงเผลอตัวเดินไปมิได้ระมัดระวังภัย ก็พอดีพบหน้าเจ้าสิงโตร้ายยืนเพ่งจ้องอยู่ไม่วางตา
เจ้านกยูงโมริยะ ตกใจหยุดชะงักด้วยสัญชาติญาณป้องกันภัย มันจึงรำแพนหางอันสวยงาม วิจิตรตระการตาด้วยสีสรรค์อันสวยงามยิงนัก นอกจากมีสีอันสวยสดงดงามแล้ว ลวดลายรำแพนหางยังประกอบด้วยดอกดวงคล้ายกับดวงตาสวรรค์นับด้วยสิบคู่ ดูระยับเหมือนว่าจ้องจับตาเพ่งมาที่ตาสิงโต จนสิงโตตะลึงอยู่ สบตานกยูงนับสิบๆคู่ก็มิได้กระพริบหลบตาเลย เจ้าสิงโตตะลึงอยู่ เจ้าสิงโตไม่เคยกลัวสัตว์ใดๆในพงไพรมาก่อนเลย กลับมากลัวสายตานกยูงอันเพ่งจ้องมาที่แพนหางน้ัน มันรู้สึกหวาดหวั่่นขึ่้นมาทันทีว่าสัตว์นี้มีสายตามากคู่นักหนา เพ่งมองมาหากระพริบไม่ มันจึงเบี่ยงหน้าหนีสายตาหลายสิบคู่น้ัน แล้วค่อยย่องเดินไปอย่างไว้ท่านักเลงเจ้าป่า ปล่อยให้นกยูงโมริยะนั้น ยืนมองดูมันเดินหนีห่างไกลออกไปทุกทีจนลับไม้ออกไป เจ้านกยูงโมริยะจึงได้ลดแพนหางลงตามปกติ
เจ้านกยูงโมริยะก็แปลกใจว่าสิงโตหนีตนด้วยกลัวอะไร
เมื่อละครชีวิตสัตว์ป่าฉากนี้จบลงแล้ว
เทวดาองค์ก่อนก็ถามเทวดาองค์ใหม่ว่า
"ท่านแลเห็นอะไร จากนกยูงและสิงโต"
เทวดาองค์ใหม่ตอบว่า
"สัตว์ร้ายเช่นสิงโต ก็ตะลึงต่อความงามของนกยูง"
"เห็นอะไรอีก"
"เห็นว่าความงามคือความดีก็ป้องกันภัยได้"
"เห็นอะไรอีก?"
"เห็นเท่านี้"
"ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่ท่านมองไม่เห็น"
"คืออะไร"
"คือสัตว์ทุกตัวล้วนแต่รักตัวกลัวตายเหมือนกันหมด ไม่เฉพาะแต่นกยูงที่กลัวตาย สิงโตสัตว์ดุร้ายก็กลัวตายเหมือนกัน"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความงามเป็นอำนาจเป็นสง่าราศีทำให้สัตว์อี่นหลงรักและเกรงกลัว และสัตว์ทุกตัวย่อมรักตัวกลัวตายเหมือนกันหมด
เจ้านกยูงโมริยะก็แปลกใจว่าสิงโตหนีตนด้วยกลัวอะไร
เมื่อละครชีวิตสัตว์ป่าฉากนี้จบลงแล้ว
เทวดาองค์ก่อนก็ถามเทวดาองค์ใหม่ว่า
"ท่านแลเห็นอะไร จากนกยูงและสิงโต"
เทวดาองค์ใหม่ตอบว่า
"สัตว์ร้ายเช่นสิงโต ก็ตะลึงต่อความงามของนกยูง"
"เห็นอะไรอีก"
"เห็นว่าความงามคือความดีก็ป้องกันภัยได้"
"เห็นอะไรอีก?"
"เห็นเท่านี้"
"ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่ท่านมองไม่เห็น"
"คืออะไร"
"คือสัตว์ทุกตัวล้วนแต่รักตัวกลัวตายเหมือนกันหมด ไม่เฉพาะแต่นกยูงที่กลัวตาย สิงโตสัตว์ดุร้ายก็กลัวตายเหมือนกัน"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความงามเป็นอำนาจเป็นสง่าราศีทำให้สัตว์อี่นหลงรักและเกรงกลัว และสัตว์ทุกตัวย่อมรักตัวกลัวตายเหมือนกันหมด
๐๐๐๐๐๐๐๐
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น