๓๘. ไก่ขันยาม
ลูกไก่ตัวผู้ตัวหนึ่ง มันเป็นไก่ดีมีความสังเกตุ พิจารณาเมื่อมันเห็นอะไร หรือได้ยินเสียงอะไรผิดปกติธรรมดาสามัญ มันก็หยุดมอง หยุดฟัง แล้วคิดหาเหตุผลว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ถ้ามันคิดไม่ออกมันก็ถามแม่ของมันอยู่เสมอ เมื่อรู้แล้วมันก็จดจำไว้ เพื่อว่าจะได้มีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย ไม่มีอันตรายมาถึงตัวมัน
มันเคยได้ยินเสียงพ่อไก่ขันอยู่เสมอมา แต่การขันของพ่อไก่นั้น ก็เป็นการขันที่มีความหมายอยู่เหมือนกัน มันจึงถามแม่ของมันอยู่เสมอมา
เที่ยงคืนดึกสงัด พ่อไก่ก็ขันคร้ังหนึ่งขันเสียง "เอ๊ก อี้ เอ๊ก เอก" อยู่ สองสามครั้งก็เลิกขัน มันจึงถามแม่ของมันว่าพ่อไก่ขันทำไมในยยามเที่ยงคืนดึกสงัด
แม่ไก่ตอบว่า ขันเตือนไก่ตัวเมียและไก่น้อยทั้งหลายว่า เวลานี้เที่ยงคืนดึกสงัดแล้วอย่าหลงใหลลืมตัว ให้ตื่นขึ้นระวังภัยพวกสัตว์ร้ายบ้าง
คร้ันเวลาตีสาม มันก็ขันอีกคร้ังหนึ่ง จึงถามแม่ไก่ แม่ไก่ก็ตอบว่า พ่อไก่ขันเตือนให้รู้ตัวว่าอย่าหลับใหลลืมตัว ให้ตื่นระวังภัย เสียงขันเตือนนี้ก็ดังไปถึงหูของสัตว์ร้ายว่าพวกไก่ตื่นอยู่ อย่าได้จู่โจมเข้ามาทำร้ายพวกเรา
คร้ันเวลาตีห้า พ่อไก่ก็ขันกระชั้นเสียง ติดต่อกันไป จนกระทั่งแสงทองส่องฟ้า ตะวันขึ้น มันก็ถามพ่อไก่ขันทำไมในยามเช้าตรู่ อากาศกำลังสบาย น่านอนหลับตาให้เป็นสุข
แม่ไก่ตอบว่า พ่อไก่ขันเตือนว่าจวนสว่างแล้ว ให้เตรียมตัวตื่นขึ้นคุ้ยเขี่ยอาหารกินกันต่อไป เพราะบรรดาสัตว์ทั้งปวงก็ตื่นขึ้นหากินกันทั่วหน้า ถ้าออกหากินช้าหรือสายเกินไป สัตว์อื่นก็จะหากินเสียหมด บรรดาไก่ก็จะหากินไม่พออิ่มท้อง เพราะเวลาเช้าตรู่เช่่นนี้ ย่อมมีสัตว์เล็กน้อยจำพวกแมลงออกหากินกันมาก พอจะจับเอามาเป็นอาหารได้ดีกว่าตอนสายแล้ว
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า แม้ไก่ซึ่งเป็นสัตว์น้อยกว่ามนุษย์ ก็ยังมีพ่อไก่คอยส่งเสียงขันเตือนภัย และช่วยปลุกไก่น้อยๆ ให้ออกหากิน คนเราผู้ฉลาดกว่าจะไม่มีคนผู้เป็นพ่อเป็นแม่ คนแก่คนเฒ่าคอยพูดจาสั่งสอนตักเตือน คนผู้มีอายุเยาว์อยู่อย่างไรเล่า คนก็จะฉลาดน้อยกว่าไก่เป็นแน่
คร้ันเวลาตีห้า พ่อไก่ก็ขันกระชั้นเสียง ติดต่อกันไป จนกระทั่งแสงทองส่องฟ้า ตะวันขึ้น มันก็ถามพ่อไก่ขันทำไมในยามเช้าตรู่ อากาศกำลังสบาย น่านอนหลับตาให้เป็นสุข
แม่ไก่ตอบว่า พ่อไก่ขันเตือนว่าจวนสว่างแล้ว ให้เตรียมตัวตื่นขึ้นคุ้ยเขี่ยอาหารกินกันต่อไป เพราะบรรดาสัตว์ทั้งปวงก็ตื่นขึ้นหากินกันทั่วหน้า ถ้าออกหากินช้าหรือสายเกินไป สัตว์อื่นก็จะหากินเสียหมด บรรดาไก่ก็จะหากินไม่พออิ่มท้อง เพราะเวลาเช้าตรู่เช่่นนี้ ย่อมมีสัตว์เล็กน้อยจำพวกแมลงออกหากินกันมาก พอจะจับเอามาเป็นอาหารได้ดีกว่าตอนสายแล้ว
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า แม้ไก่ซึ่งเป็นสัตว์น้อยกว่ามนุษย์ ก็ยังมีพ่อไก่คอยส่งเสียงขันเตือนภัย และช่วยปลุกไก่น้อยๆ ให้ออกหากิน คนเราผู้ฉลาดกว่าจะไม่มีคนผู้เป็นพ่อเป็นแม่ คนแก่คนเฒ่าคอยพูดจาสั่งสอนตักเตือน คนผู้มีอายุเยาว์อยู่อย่างไรเล่า คนก็จะฉลาดน้อยกว่าไก่เป็นแน่
๐๐๐๐๐๐๐๐
๓๙. จักกะจั่นสนั่นไพร
ในกาลครั้งหนึ่ง มีโอรสพระราชามหากษัตริย์องค์หนึ่งชื่อ พระเจ้าพรหมทัต โอรสทรงพระนามว่า "ภูริทัต" ครั้นอายุสมควรจะศึกษาศิลปศาสตร์เพื่อมีศิลปวิทยาสำหรับเป็นพระราชาสืบวงศ์กษัตริย์ต่อไป จึงได้เดินทางไปศึกษายังสำนักทิศาปาโมกข์ในป่าหิมพานต์ประเทศ ตามธรรมเนียมของกษัตริย์โบราณกาลมา
ครั้นไปศึกษาวิชาศิลปศาสตร์อยู่กับพระฤาษีในป่า ก็ได้ฟังแต่ดนตรีป่า คือเสียงวิหคนกร้อง จักกะจั่น จิ้งหรีด เรไร ปี่แก้ว ส่งเสียงขันกล่อมไพร อยู่ทุกคืนวัน พาให้สุขสันต์คลายความคิดถึงเวียงวังอันเคยเป็นสุขสบาย จึงได้ถามพระอาจารย์ว่า บรรดาสัตว์ตัวน้อยเหล่านี้คือปักษาปักษี จิ้งหรีด เรไร จักกะจั่น ทำไมจึงได้ส่งเสียงขันอยู่ตลอดเวลา มันส่งเสียงขันเพื่อเหตุผลอันใด
พระฤาษีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญทางศิลปวิทยาและมีความรู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับธรรมชาติของสัตว์ป่า เพราะเหตุได้คลุกเคล้า สัมผัสกับชึวิตสัตว์ป่าน้อยใหญ่มาช้านานเต็มที จนมีความเข้าใจในสภาพชีวิต จิตใจของสัตว์ป่าน้อยใหญ่เป็นอย่างดีด้วยสมาธิภาวนา ก่อให้เกิดปัญญาด้วยจิตเมตตาก่อให้เกิดความรัก ความเมตตาต่อบรรดาสัตว์ร่วมโลกร่วมชีวิตอย่างซาบซึ้ง จึงได้อธิบายให้พระภูริทัตโอรสกษัตริย์ทรงทราบว่า
"บรรดาสัตว์น้อยใหญ่เหล่านี้ย่อมส่งเสียงร้อง ส่งเสียงขัน สนั่นเสนาะไพรด้วยมูลเหตุ ๖ ประการ คือ
๑. ส่งเสียงขัน เพื่อพักผ่อนหย่อนใจตามธรรมชาติของจิตใจบรรดาสัตว์ทั้งปวง ไม่ว่าสัตว์น้อยใหญ่ เมื่อยามอยู่ว่าง ก็ย่อมส่งเสียงร้อง ส่งเสียงขันเพื่อระบายอารมณ์ ระบายความล้นเหลือของจิตใจให้ออกไปเป็นเสียงร้อง เสียงขัน เมื่อระบายออกไปแล้วก็สบายกายสบายใจ สบายอารมณ์เป็นธรรมดา
๒. ส่งเสียงขัน ส่งเสียงร้องเรียกคู่ตามที่มันต้องการจะสืบพืชพันธุ์ มันย่อมจะส่งเสียงขัน ส่งเสียงร้อง เรียกหาคู่ของมัน โดยเฉพาะสัตว์ตัวผูั ย่อมจะส่งเสียงร้องหาสัตว์ตัวเมีย เมื่อตัวเมียได้ยินเสียงก็เร้าใจให้มันรีบตามเสียงมาเพื่อพบกัน มันก็ย่อมจะสมสู่เสพเสวนาการ ให้พืชพันธุ์ของมันเข้าผสมพันธุ์กัน เพื่อสืบพึชพันธุ์ต่อไปตามธรรมชาติชองสัตว์
๓.ส่งเสียงขัน ส่งเสียงร้องเพื่อแสดงอำนาจหรือศักดิ์ศรีของมันว่ามันเป็นใหญ่ มันเป็นเจ้าของถิ่นสถานที่ เป็นหัวหน้าฝูงหัวหน้าโขลงของมันอยู่ สัตว์อื่นย่อมเกรงกลัว ไม่กล้าล่วงล้ำดินแดน เพราะเจ้าถิ่นส่งเสียงขันข่มป่าอยู่
๔. ส่งเสียงขัน ส่งเสียงร้องเพื่อความใคร่อยากจะเป็นใหญ่เหนือกว่าสัตว์อื่นในพนาเดียวกัน ถ้าหากไม่มีสัตว์ใดขันสู้ มันก็จะได้เป็นใหญ่ต่อไป ถ้าใครขันสู้ก็ต้องต่อสู้กัน ใครชนะก็ได้เป็นใหญ่ต่อไป เพราะสัตว์ต้องมีหัวหน้าฝูง ควบคุมฝูงให้เป็นปึกแผ่น เพื่อความอยู่รอดของสัตว์เหมือนกัน
๕. ส่งเสียงขัน ส่งเสียงร้อง เพื่อบอกข่าวเตือนภัยแก่หมู่คณะของมันให้คอยระมัดระวังภัยอยู่เสมอเพื่อความอยู่รอดของหมู่สัตว์
๖. ส่งเสียงขัน ส่งเสียงร้องเพื่อเป็นดนตรีธรรมชาติขับกล่อมพงไพร ให้รื่นเริงและเป็นสุข อบอุ่นใจแก่บรรดาสัตว์ทั้งปวง เพราะถ้าพงไพรเงียบสงัด ปราศจากเสียงร้องของหมู่สัตว์ ป่าจะเงียบเหงาเศร้าวิเวกวังเวงเกินไป ไม่มีชีวิตชีวา ไม่มีคลื่นเสียงของหมู่สัตว์ อันนี้เป็นกฎของพระผู้เป็นเจ้า ท่านสาปสรรค์ไว้ดังนี้ จะขาดเสียมิได้เลย
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้วา เสียง แสง สีมีไว้ด้วยพระพรหมผู้เป็นเจ้าสร้างสรรค์ไว้ เพื่อเป็นประโยชน์แก่สรรพสิ่งทั้งปวง ทั้งที่มีชีวิตและไมมีชีวิต บรรดามีอยู่ในโลกนี้ เพราะฉนั้นจงอย่าได้รำคาญต่อเสียง แสง สีที่มีอยู่เลย
๐๐๐๐๐๐๐๐
๔๐. พระยาช้างเผือก
ลูกช้างเชือกหนึ่ง มันเกิดในป่า เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วมันก็ถูกแม่ของมันเคี้ยวใบไม้พ่นตามตัวอยู่เสมอ ส่วนลูกช้างเชือกอื่นๆ ไม่เห็นมีแม่ของมันเคี้ยวหญ้าพ่นเหมือนมันเลย มันก็เกิดความสงสัย จึงถามแม่ของมันว่า
"แม่เคี้ยวใบไม้พ่นตัวของลูกทำไมทุกวัน แม่ควรจะกินใบไม้เป็นอาหารให้อ้วนพีดีกว่า เอามาพ่นทิ้งเสียเช่นนี้ จนกระทั่งแม่ผ่ายผอมลงไปเพราะกินอาหารไม่พอ"
แม่ของมันเมื่อได้ยินลูกช้างถามก็ตอบว่า
"ลูกช้างเอ๋ย เจ้าไม่รู้เลยว่าแม่รักเจ้าเพียงไร เพราะความรักเหลือกำลังนี้แหละ แม่จึงต้องเสียสละอาหารพ่นอาหารทาตัวลูกอยู่ทุกวันนี้"
"แม่รักลูกช้างแล้ว ทำไมจึงต้องพ่นอาหารทาตัวลูกด้วยเล่า?"
"ลูกช้างเอ๋ย เจ้าไมรู้อะไรเลย ส่วนแม่รู้วา่ลูกเกิดมาผิวประหลาดกว่าบรรดาลูกช้างทั้งหลายในป่านี้ เพราะรูปร่างลักษณะดีเกินตระกูลช้างป่าทั้งปวงอย่างหนึ่ง ขนกายของเจ้าก็เป็นสีแดง ไม่เป็นสีดำเหมือนช้างทั้งปวงอย่างหนึ่ง เพดานปากของเจ้าก็เป็นสีขาวอย่างหนึ่ง เล็บเท้าของเจ้าก็มีสีขาวอย่างหนึ่ง เครื่องหมายอย่างนี้บอกว่าเจ้าเป็นลูกช้างมีบุญมีกรรมผสมกัน เจ้าจะต้องจากแม่จากป่าจากโขลงช้างไป เพราะจะมีคนจับเจ้าเอาไปขังไว้ ผูกไว้ยังโรงช้างเผือก เจ้าจะมีคนเลี้ยงหญ้า เลี้ยงน้ำ อาบน้ำให้ตลอดชีวิต ไม่ต้องลำบากหากินเอง แต่เจ้าจะถูกผูกโซ่ล่ามไว้ ไปไหนไม่ได้เลย ไม่มีโอกาสจะได้มีลูกช้างสืบตระกูลต่อไปด้วย เพราะเขาห้ามมิให้เจ้่าเสพสมกับช้างอื่นที่ตระกูลต่ำกว่า แม่รักเจ้า คิดถึงเจ้า จึงต้องคอยเคี้ยวใบไม้พ่นกายเจ้า เพื่อมิใหใครล่วงรู้มาจับเอาเจ้าไปเสียจากแม่"
พูดแล้วแม่ช้างก็ยืนร้องไห้น้ำตาไหลอาบหน้า แต่ไม่มีเสียงคร่ำครวญที่เรียกกันว่า "ร้องไห้ช้าง"
ต่อมาไม่นานเลย ก็มีคนมาจับเอาลูกช้างเชือกนั้นไปถวายพระราชาขึ้นระวางเป็นพระยาช้างเผือก มีคนคอยเลี้ยงให้ข้าวให้น้ำ แต่ต้องผูกล่ามโซ่ยืนอยู่แต่ในโรงพระคชาธาร ต้องจากแม่ช้างไป แม่ช้างก็ได้แต่ส่งเสียงร้องเรียกลูก
"ลูกเอ๋ย แม่อุตส่าห์เคี้ยวใบไม้พ่นสีพรางตาคนไว้ก็ไม่พ้น ลูกต้องจากแม่ไปจนได้"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ชีวิตย่อมเป็นไปตามวิถีของโลก ไม่มีผู้ใดจะขัดขวางได้ การก้าวขึ้นสู่ที่สูง มียศศักดิ์ใหญ่ ไม่ต้องลำบากในการหากินแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นสุขโดยแท้จริง เพราะขาดอิสระเสรีภาพ ไม่เป็นไปตามธรรมชาติของชีวิตธรรมดาของสัตว์โลกทั้งหลาย
๐๐๐๐๐๐๐๐
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น