๑๐ แมงป่องชูหาง
ครั้งหนึ่งงูเหลือมเห็นว่าพิษร้ายในร่างกายของตนน้ันไม่มีคุณ มีแต่โทษ จึงประกาศแก่สัตว์ท้ังหลายว่าจะคายพิษทิ้งเสีย ใครอยากได้ก็มาเอาไป ครั้งนั้นบรรดาสัตว์เล็กน้อยทั้งหลายที่เชื่อถือว่างูเหลือมจะคายพิษจริง ก็พากันมาดื่มพิษกันมาก แต่บรรดาสัตว์ส่วนใหญ่ไม่มีใครเชื่อว่างูเหลือมจะคายพิษจริง จึงไม่มาดื่มกัน
ในบรรดาสัตว์น้อยนั้นก็มีแมงป่องอยู่ด้วย แมงป่องตัวเล็ก จึงดื่มพิษไว้ได้เล็กน้อย ไม่เพียงพอที่จะทำอันตรายแก่ชีวิตสัตว์ใดได้ แมงป่องรู้ตัวว่าตัวเองมีพิษน้อย และเกรงกลัวไปว่าสัตว์อื่นจะไม่รู้ว่าตนก็มีพิษ และพิษนั้นแทนที่จะอยู่ที่เขี้ยวในปาก ก็กลับไปอยู่ที่ปลายหาง แมงป่องจึงต้องชูหางเอาไว้เสมอ เพื่อประโยชน์ ๒ ประการคือ เพื่อมิให้พิษที่มีอยู่เล็กน้อยนั้นหกหายไปเสียหมดอย่างหนึ่ง เพื่อให้สัตว์ทั้งหลายรู้และคร้ามเกรงวาตนมีพิษอันร้ายแรงอยู่ แมงป่องจึงต้องชูหางอยู่ตลอดกาล
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ผู้ที่รู้ตัวว่าตนมีทรัพย์สมบัติน้อย หรือมีคุณสมบัติน้อย ก็มักระมัดระวังรักษา และในเวลาเดียวกัน ก็มักโอ้อวดยกตัวด้วย เพราะฉนั้นเมื่อพบผู้ใดขี้ตระหนี่ก็พีงรู้ว่าเขาเคยจน เมื่อพบผู้ใดขี้โอ้อวดก็พึงรู้ว่าผู้นั้นมีสิ่งนั้นไม่มากพอ และดีพอที่จะทำให้เขาคิดปกปิดซ่อนเร้น
๐๐๐๐๐๐๐๐
๑๑. มดสี่เหล่า
อีเห็นเป็นสัตว์รูปร่างคล้ายหนูพุกหรือพังพอน แต่ตัวโตกว่า ปากแหลม มันเป็นสัตว์กินมดตามพื้นดิน มันจึงรู้จักมดดีที่สุด
คราวหนึ่งอีเห็นตัวหนึ่งมันมีลูก พอลูกมันหย่านม สมควรจะกินมดเป็นอาหารได้แล้ว มันจึงพาออกหามดกิน และสอนลูกของมันไปด้วย
เมื่อมันเห็นมดดำหนึ่งเดินมา มันก็บอกให้ลูกของมันดู พลางบอกว่ามดสีนี้เรียกว่า มดดำ เป็นมดที่โง่และป่าเถื่อนที่สุดในจำพวกมดด้วยกัน มีที่สังเกตุได้คือมันชอบเดินตัวเดียวเป็นอิสระ ไม่ชอบอยู่เป็นหมู่คณะ บางจำพวกก็ขี้ขลาดมาก เห็นอะไรผิดปกติก็รีบวิ่งหนีไปโดยเร็ว บางจำพวกก็ดุมาก เห็นศัตรูก็ตรงเข้ากัดทันที เป็นลักษณะของสัตว์ป่าชนิดหนึ่ง มันชอบขุดรูอยู่ตามพื้นดิน ในรูหนึ่งก็อยู่รวมกันไม่กี่ตัว เป็นลักษณะของสัตว์ที่ยังไม่เจริญ การหาอาหารเมื่อพบซากสัตว์ก็ขนไปไว้ในรู เป็นลักษณะของการล่าสัตว์อย่างหนึ่ง กินหมดแล้วก็หาใหม่ต่อไป ไม่มีการสะสมอาหาร การหาอาหารก็หาแต่ลำพังตัวเดียวไม่สามัคคีช่วยกันแต่อย่างใด ถ้าหาอาหารพร้อมกันก็แย่งกันลากดึงไปคนละทาง ไม่ช่วยกันลากขนแต่อย่างใด มดดำจึงเป็นมดที่โง่และป่าเถื่อนที่สุด
เมื่อเดินไปพบมดสีแดง ตัวเล็กๆ ทำรังด้วยดินเป็นก้อนกลมๆ เท่าลูกฟุตบอลขนาดเล็กอยู่บนกิ่งไม้ อีเห็นก็บอกลูกมันว่า มดชนิดนี้เป็นมดสีแดง เรียกว่า มดรี่ มันเป็นมดดุ เมื่อเห็นศัตรูกล้ำกลายเข้าใกล้รังมัน มันจะพากันวิ่งรี่เข้ากัดทันที จึงเรียกว่า มดรี่ มันเป็นมดทีเจริญกว่ามดดำ เพราะมันรู้จักช่วยกันขนดินมาสร้างรังของมันอยู่บนยอดไม้ พ้นจากน้ำท่วมและสัตว์อื่น มันอยู่กับหมู่คณะ มันช่วยกันหาอาหาร มันช่วยกันต่อสู้เมื่อมีศัตรู มันมีความป่าเถื่อนอยู่ที่มันมีร่างกายแข็งแรงและดุร้าย เจ้าเจอมดจำพวกนี้จะต้องระวังตัวให้ดี
อีเห็นมันพาลูกของมันเดินต่อไป จนไปพบมดอีกชนิดหนึ่งสีเหลือง มันก็บอกให้ลูกของมันดุว่า มดชนิดนี้เป็นมดที่เจริญพอๆกับมดรี่ แต่มันมีร่างกายใหญ๋โตกว่า มดแดง มันทำรังอยู่บนต้นไม้ แต่ไม่ใช่ดิน มันใช้ใบไม้แห้งๆมาทำรังอยู่ และมันรวมกันอยู่เป็นหมู่คณะ มันช่วยกันหาอาหาร ถ้ามีศัตรูเข้าใกล้รังมัน มันจะช่วยกันกัดศัตรูของมัน ไม่ว่าศัตรูนั้นจะเล็กใหญ่เพียงใด ถึงเป็นช้างมันก็สู้ มันฉลาดกว่ามดรี่ ที่ถ้ามดตัวใดถูกทำร้ายตายลง มันก็ได้กลิ่นมันจะพากันวิ่งกรูเข้ามาช่วยกันกัดทันที มันเลือกกัดตรงที่มีเนื้ออ่อนเสียด้วย ไม่เหมือนมดรี่ที่กัดดะทั่วไปไม่เลือกและไม่วิ่งกรูกันมาตามกลิ่นเหมือนมดแดง เจ้าพบมดชนิดนี้ จะต้องรู้จักหนีให้ดี
แล้วอีเห็นก็พาลูกของมันตระเวนต่อไปจึงถึงปลวกแห่งหนึ่ง มันก็เอาเล็บเท้าตะกุยปลวกนั้นลงไปเป็นช่อง มองเห็นโพรงภายใน มันก็บอกให้ลูกมันดู ลูกมันก็มองเห็นมดชนิดหนึ่งสีขาว มีลักษณะอ่อนนิ่ม แต่หัวใหญ่ ปากแข็งแรงพากันเดินเรียงแถวอยู่ในปลวกนั้น แล้วก็เดินเรียงแถวออกมา อีเห็นก็จับกินบ้าง ให้ลูกกินบ้าง เป็นมดที่กินอร่อยที่สุด แต่มันก็เป็นมดที่ฉลาดที่สุด เจริญที่สุดในจำพวกมดด้วยกัน มันรู้จักสร้างรังของมันอย่างแข็งแรง วิจิตรพิสดาร เป็นตึกราม เป็นห้องหับต่างๆ ทั้งเป็นทีอยู่ของมันเอง เป็นที่เก็บไข่ และลูกอ่อนของมัน ที่เก็บอาหารของมันก็มี รวมท้ังที่เก็บน้ำด้วย มันอยู่รวมกันเป็นหมู่คณะ มีการปกครองกันเป็นระเบียบมันมีราชินีของมัน มันเป็นมดตัวผู้สำหรับผสมพันธ์ มีมดกรรมกรสำหรับทำงาาน มันเป็นมดที่ขยันขันแข็งที่สุด มันเป็นมดไม่ดุร้าย แต่มันก็ช่วยกันรุมกัดศัตรูของมันเต็มที่ ปากของมันมีเขี้ยวคม ไม้แข็งๆมันก็กัดขาดหมด เป็นมดประเภทที่น่าสนใจมาก และกินอร่อยที่สุด
ลูกของมันถามว่า มดในโลกนี้มี ๔ ชนิดเท่านี้หรือ
แม่ของมันตอบว่า มดมีมากมายหลายพันชนิด แต่ชนิดอื่นมีน้อยไม่ค่อยสำคัญ แต่ที่สำคัญ ก็มีอยู่ ๔ ชนิด ๔ สี คือ มดดำ มดแดง มดเหลือง มดขาว นี้เท่าน้ัน ความเจริญความฉลาด มดดำ ต่ำที่สุด มดขาวสูงสุด
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า มดมี ๔ สี่ ๔ เหล่าฉันใด มนุษย์ก็มี ๔ สี ๔ เหล่าฉันนั้น มนุษย์สีดำ ความเจริญหรือความฉลาดต่ำที่สุด คนแดงเจริญขึ้นมา คนเหลืองฉลาดและขยันมากขึ้น คนขาวขยันและฉลาดสูงที่สุด และเจริญที่สุดเช่นเดียวกัน แม้นมนุษย์ในชาติเดียวกัน ก็แบ่งออกเป็น ๔ ระดับ โดยคำสาปของพระพรหม เช่นนี้ด้วย
๐๐๐๐๐๐๐๐
๑๒.ปั้นน้ำเป็นตัว
ชายผู้หนึ่งมีบุตรชายสองคน คนพี่เป็นคนรักความสัตย์จริง ชอลพูดแต่คำสัตย์จริงเสมอ คำเท็จนั้นไม่ยอมพูดให้หลุดปากออกมาเลยเป็นอันขาด คนพี่นี้ชื่อบุญเกิด
ส่วนคนน้องเป็นคนชอบพูดจาเหลวไหล ชอบเอาความเท็จมาพูดเป็นความจริง ชอบปั้นน้ำเป็นตัวอยู่เสมอ คนน้องนี้ชื่อว่า บุญปั้น
คราวหนึ่งบิดาได้ยินเสียงบุตรชายคนโตพูดว่าน้องชายว่า ชอบปั้นน้ำเป็นตัวสมชื่อบุญปั้น แต่ถ้าจะให้เหมาะสมควรให้ชื่อว่า ปั้นน้ำเป็นตัวเสียเลย
บิดาจึงเรียกบุตรคนเล็กมาสั่งสอนว่า บุคคลในโลกนี้ที่ชื่อว่าปั้นน้ำเป็นตัวนั้น ที่สำคัญมีอยู่ ๔ จำพวก
พวกที่หนึ่ง ได้แก่ คนทำตาล ย่อมมีอาชีพปืนต้นตาล เอามีดปาดงวงตาล แล้วเอากระบอกรองน้ำตาลที่หยดออกมาจากงวงทีละหยดนั้นรวมกันเป็นสิบกระบอกแล้วก็เอามาใส่กะทะเคื่ยวไฟจนเดือดแห้งงวดเป็นน้ำตาล ใส่หม้อดินก็เรียกน้ำตาลหม้อ ใส่ปีปก็เรียกน้ำตาลปีป ใส่ชามเป็นปึก ก็เรียกน้ำตาลปึก คนขึ้นตาลย่อมได้ชื่อว่า ปั้นน้ำเป็นตัว แต่น้ำที่ปั้นนั้นคือน้ำตาลมีรสหวาน คนทั้งหลายต้องการซื้อหาเอาไปรับประทาน คนป้ันน้ำเป็นตัวจำพวกนี้ เป็นผู้ทำประโยชน์เลี้ยงตนและผู้อื่น จึงไม่มีใครรังเกียจเกลียดชัง
พวกที่สอง ได้แก่ คนทำนาเกลือ ย่อมมีอาชีพไขเอาน้ำทะเลเข้ามาขังไว้ในนาเกลือของตน ปล่อยให้แสงอาทิตย์แผดเผาจนน้ำเค็มนั้นแห้งงวดลงเหลือแต่รสเค็มคกตะกอนเป็นก้อนสีขาวๆ อยู่ในนาจึงเก็บเอามารวมกองไว้ขายเป็นสินค้า เรียกว่า เกลือ คนจำพวกนี้จึงนับว่าเป็นพวกปั้นน้ำเป็นตัวอีกพวกหนึ่ง แต่น้ำที่เขาปั้นเป็นตัวนั้นก็คือเกลือ มีรสเค็ม ย่อมเป็นที่ต้องการของคนทั้งหลาย ซื้อหาเอาไปปรุงอาหารและยาบริโภค คนทำนาเกลือจึงเป็นผู้ที่ทำประโยชน์เลี้้ยงตนและคนอื่น จึงไม่มีผู้ใดคิดรังเกียจเกลียดชัง
พวกที่สาม ได้แก่ คนทำน้ำแข็ง ย่อมมีอาชีพตั้งโรงงาน ใช้เครื่องจักรสูบเอาน้ำจืดเข้ามาทำความเย็นจนน้ำนั้นถึงจุดน้ำแข็ง ก็แข็งตัวเป็นก้อน เขาจึงขายน้ำแข็งเป็นก้อนมีความเย็นจัดนั้นให้คนบริโภค ถึงน้ำแข็งจะเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย ไม่จำเป็นแก่ชีวิตมากนัก แต่ก็ยังมีคุณประโยชน์ใช้แช่ยาและอาหารสดให้สดอยู่ได้นานไม่เน่าเปื่อย ใช้ผสมเครื่องดื่มก็ทำให้เย็นชื่นใจไม่ยามร้อน คนทำน้ำแข็งจึงเป็นผู้ที่ทำประโยชน์ให้แก่ตนและผู้อื่น จึงไม่มีผู้ใดรังเกียจเกลียดชัง
พวกที่สี่ ได้แก่ผู้ที่โกหกหลวกลวงผู้อื่นให้หลงเชื่อ เอาความเท็จมาพูดว่าเป็นความจริง เอาความไม่มีตัวตนมาพูดว่ามีตัวตน เอาความไม่มีเรื่องมาพูดให้มีเรื่อง คนโกหกจึงเป็นคนปั้นน้ำเป็นตัวอีกประเภทหนึ่ง แต่มิได้ทำประโยชน์ให้แก่ผู้ใด ถึงตนเองจะได้รับประโยชน์จากการโกหกนั้นในตอนแรก แต่ตอนหลังก็ย่อมได้รับโทษคือ ความเดือดร้อน เพราะมีแต่คนรังเกียจเกลียดชัง ไม่มีใครเชื่อถือ ไม่มีใครอยากคนค้าสมาคมด้วย แม้แต่หญิงสาวก็ไม่อยากได้เป็นสามี ชายหนุ่มก็ไม่อยากได้เป็นภรรยา เพราะกลัวเกรงว่าจะโกหกหลวงลวงเขาในวันหน้า เป็นธรรมดาของมนุษย์ทุกคนย่อมอยากฟังแต่คำสัตย์จริง ไม่อยากถูกโกหกหลอกลวง จึงไม่อยากคนคนโกหก รังเกียจเกลียดชัง คนโกหกจำพวกปั้นน้ำเป็นตัวประเภทที่สึ่นี้
บุตรได้ฟังบิดาสั่งสอนเช่นนั้น ก็รู้สึกละอายใจมาก รู้สึกผิดรู้สึกชอบ จึงกล่าวปฎิญาณตนต่อบิดาว่า ต่อแต่นี้ไปจะไม่พูดคำเท็จอีกเป็นอันขาด
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การปั้นน้ำเป็นตัวดีก็มีประโยชน์แก่ตนและผู้อื่น แต่ปั้นน้ำเป็นตัวที่ชั่วช้า คือ การโกหก หลวกลวงผู้อื่น ย่อมได้รับแต่ความรังเกียจเกลียดชังจากคนทั้งหลาย
๐๐๐๐๐๐๐๐
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น