วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2558

นิทานธรรมดาโลก (๖)


๑๖. จิ้งจกทัก
    ลูกจิ้งจกตัวหนึ่ง คอยติดตามแม่ของมันเที่ยวจับแมลงกินอยู่ตามฝาบ้านครอบครัวหนึ่ง  มันเคยสังเกตเห็นแม่ของมันร้องทักร้องทักเจ้าของบ้านอยู่เป็นครั้งคราวเสมอ
  วันหนึ่ง มันได้ยินเสียงแม่มันร้องทัก จุ๊ ๆ ๆ อีก มันจึงร้องถามแม่ของมันว่า  ร้องทำไม ? 
    แม่มันตอบว่า "ร้องทักเจ้าของบ้าน"
    มันจึงถามว่า "ทักเขาทำไม ?"
    แม่มันตอบว่า "ทักเพื่อให้สติยั้งคิดไม่ทำชั่ว"
    ลูกจิ้งจกก็ถามต่อไปว่า  "มันเรื่องอะไรของเราด้วยเล่า   เขาจะทำชั่วก็ชั่งเขาเป็นไร"
     แม่จิ้งจกตอบว่า   "เราเป็นสัตว์เล็กมาอาศัยบ้านของท่านอยู่หากิน  มีความสุขตลอดมา   เขาจึงเป็นผู้มีบุญคุณแก่เราอยู่  เราจึงต้องตอบแทนบุญคุณเขา  เมื่อรู้ว่าเขาจะทำผิดคิดชั่ว  เราจึงต้องร้องทักเตือนสติเขาไว้   มิฉนั้นก็อาจเกิดอันตรายแก่เขา  เมื่อเขาได้รับอันตราย บ้านเรือนของเขาก็ต้ังอยู่ไม่ได้   เราก็ย่อมพลอยได้รับอันตรายด้วย  เราจึงต้องช่วยตักเตือนท่าน  เป็นการช่วยเหลือท่านด้วยความกตัญญุแบะผลแห่งกตัญญูนั้น  ก็ช่วยปกป้องคุ้มครองเราให้มีความสุข"
     ลูกจิ้งจกถามว่า "แม่รู้ได้อย่างไรว่า  เขาจะทำชั่วคิดชั่ว?"
     แม่จิ้งจกตอบว่า "รู้ได้จากการสังเกตดูสีหน้าและแสงสีที่ออกจากดวงหน้าของเขา  ถ้าเขาคิดชั่วร้าย  ก็จะมีแสงสีม่วง ถ้าเขาจะประสบโชคร้าย  ก็จะมีแสงสีดำ"
     ลูกจิ้งจกถามว่า "เมื่อเห็นแล้วจะทำอย่างไรให้เขารู้ตัวได้เล่า"
     แม่จิ้งจกตอบว่า "หาจังหวะที่เหมาะๆ เมื่อใจเขามีสมาธิดีแล้ว  ก็ร้องทักเขาให้ได้สติอย่างหนึ่ง  ถ้าเป็นเรื่องสำคัญก็ต้องเสียสละโจนตัวจากเพดานลงไปที่พื้นให้เขาเห็น   ถ้าเป็นเรื่องสำคัญมากเกี่ยวกับชีวิตของเขาก็ต้องเสียสละชีวิตเรา   ปล่อยตีนมือจากเพดานตกลงไปตายให้เขาเห็น  เช่น ถ้าว่าเขาจะเดินทางไปประสบอันตรายถึงชีวิต  เมื่อเขาจะออกจากบ้าน  เราจะต้องโจนลงไปตายขวางหน้าเขาไว้เสียก่อน"
     ลูกจิ้งจกถามแม่ว่า "เหตุไรเล่าจึงต้องยอมสละชีวิตเราเพื่อช่วยชีวิตเขาเช่นนั้น?"
     แม่จิ้งจกตอบว่า "เพราะสัตว์มนุษย์เป็นสัตว์มีบุญคุณต่อเราอย่างหนึ่ง เพราะสัตว์มนุษย์เป็นสัตว์อายุยืนยาวกว่าเราอย่างหนึ่ง  เราจึงต้องยอมเสียสละชีวิตอันเล็กน้อยของเราเพื่อช่วยเหลือชีวิตอันใหญ่ของเขาไว้"
     ลูกจิ้งจกถามว่า  "ถ้าเราเฉยเสียไม่ทัก  ไม่ยอมสละชีวิตเตือนเขาไว้  จะเกิดอะไรขึ้นเล่า"
     แม่จิ้งจกตอบว่า  "เมื่อเจ้าของบ้านที่เราอยู่อาศัยหากินเกิดอันตรายถึงชีวิต  ชีวิตของเราก็จะพลอยเกิดอันตรายด้วย  ชีวิตทุกชีวิตในโลกนี้ย่อมเกิดมาผูกพันกัน  เป็นคุณประโยชน์ต่อกันทั้งทางตรงทางอ้อมทั้งสิ้น  เมื่อชีวิตอันใหญ่เกิดอันตราย ก็จะกระทบกระเทือนถึงชีวิตอันน้อยชีวิตอื่นรอบข้างด้วยเสมอ เราเกิดมาจึงต้องช่วยเหลือกัน แม้ว่าการช่วยเหลือกันและกันนั้น  บางคร้ังบางคราวก็อาจจะต้องเสียสละความสุข  สละทรัพย์ หรือชีวิตของเราเอง"  
     นิทานเรื่องสอนให้รู้ว่า  ธรรมชาติสร้างชีวิตทุกชีวิตาให้มีความเกี่ยวเนื่องผูกพันกัน  จึงต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน  และเสียสละเพื่อกันและกันอยู่เสมอ 
๐๐๐๐๐๐๐๐

     ๑๗. คนไหว้หมา

     เด็กชายประดิษฐ์ บ้านแหลม  เป็นเด็กยากจน พ่อแม่หาเช้ากินค่ำ เรียนหนังสือจบชั้น ป.๔ แล้วก็ออกจากโรงเรียน  แต่เด็กชายประดิษฐ์เป็นเด็กอ่อนแอ ช่วยเหลือแม่ทำงานรับจ้างเป็นกรรมกรไม่ไหว  จึงได้เข้าบวชเณร   แล้วจึงเอาดีทางพระ  เรียนจบนักธรรมชั้นเอก แล้วอาจารย์ก็ส่งเข้าเรียนต่อเปรียญทีวัดในกรุงเทพฯ จนกระทั่งอายุครบบวชก็ได้บวชเป็นพระ   วันหนึ่งได้รับนิมนต์ไปฉันอาหารในงานทำบุญบ้านท่านจอมพลคนหนึ่ง  ซึ่งเลี้ยงสุนัขพันธ์ุฝรั่งไว้ฝูงใหญ่  ถึงกับต้องจ้างคนเลี้ยงหมา  พระประดิษฐ์เดินผ่านกรงหมาไปใกล้ๆ  จึงได้มองเห็นอาหารหมาวันนั้น เป็นเนื้อวัวสดๆกระดูกหมู  มองดูก็กะประมาณว่าค่าอาหารหมาคราวนั้นตกหลายร้อยบาท  ยิ่งกว่านั้นยังมีนมสดเลี้ยงหมาด้วย   พระประดิษฐ์มองเห็นแล้วก็เกิดความสลดใจในสภาพของตนเอง   พ่อแม่ และพี่น้อง เกิดมาเป็นคนแต่จนยิ่งกว่าหมา  อาหารหมามื้อนี้มากกว่าอาหารที่บ้านเราตั้งเดือน  อย่าว่าแต่เนื้อหมู เนื้อวัว นมสดเลย  ข้าวจะหุงกินบางมื้อก็ไม่มี  ต้องต้มกิน บางทีก็ต้องหุงผสมเผือกมันกินพออิ่มกันตายในมื้อหนึ่งๆ  "เออ หมาเหล่านี้วาสนาดีกว่าเราเสียอีก ทำบุญอะไรไว้หนอ เราอยากจะไหว้หมาเสียแล้ว"  พระภิกษุประดิษฐ์ครุ่นคิดในใจ จนกระทั่งกลับไปวัดวันนั้น พระประดิษฐ์ก็ยังครุ่นคิดไม่หาย  พระประดิษฐ์มีฝีมือวาดภาพเป็นอยู่บ้าง พอวาดรูปคนรูปหมาและรูปดอกไม้กับต้นไม้  หรือรูปวัดรูปบ้านให้พอมองออกว่าอะไรเป็นอะไร  ไม่ถึงแก่มีฝีมือชั้นจิตรกรหรือวิจิตรศิลป์อะไร อารมณ์ที่คิดไปก็เลยเอาพู่กันวาดภาพหมานั่งอยู่บนเก้าอี้ มีรูปพระนั่งหมอบไหว้สุนัขแล้วก็นั่งดูอยู่พลางคิด อะไรไปต่างๆ 
     พอดีขณะนั้นท่านเจ้าคุณเดินมาพบเข้า  เห็นภาพพระภิกษุกำลังนั่งไหว้หมาอยู่ 
     "นี่คุณประดิษฐ์  คุณเคยเห็นโคตรพ่อโคตรแม่ของคุณไหว้หมาหรือ?"
     "เปล่าครับ" 
     "แล้วนี่คุณเขียนภาพพระไหว้หมาทำไม ?"
     "บางทีหมามันมีวาสนามากกว่าคน"
     "แล้วนีคุณเขียนภาพพระไหว้หมาทำไม"
     "อ้อ... ยังนั้นนี่เล่า  ผมดูคุณแปลกๆ ไปหมู่นี้  ผมไม่คิดว่าพระในวัดผมจะมีความคิดต่ำช้าแบบเดรัจฉานอย่างนี้"  
     "ผมไม่ได้หมายความยังงั้น"
     "เอาละ  การกระทำมันส่อเจตนา  ผมขอให้คุณออกไปจากวัดผมได้ตั้งแต่วันพรุ่งนี้  วัดของผมไม่ต้อนรับพระนอกรึตอย่างคุณ" ว่าแล้วท่านก็หันหลังกลับ
     พระประดิษฐ์ก็ลาสึก  แต่เพราะมีความรู้สอบได้วิชาชุด พกศ. จึงได้สมัครเข้าเป็นครูในจังหวัด
     นายประดิษฐ์ บ้านแหลม เป็นครูที่ชอบขีดเขียนตามนิสัยเดิม  อยู่มาวันหนึ่ง  เกิดความคิดว่า
     "ตัวเรานี้ก็เป็นคนนะ แต่เจ้านายบางคนเหมือนหมา   ้เราเป็นคนต้องอยู่ใต้ปกครองของหมา  เป็นคนต้องไหว้หมา"  จึงได้เขียนรูปคนไหว้หมาลงในหนังสือที่ระลึกการจัดงานแห่งหนึ่ง  เมื่อรู้ถึงเจ้านายก็สอบถามว่าใครเขียนรูปภาพนี้ คนก็บอกว่านายประดิษฐ์เขียน  เจ้านายก็พูดว่า  
     " เอ  คนที่มีความคิดจิตต่ำช้าอย่างนี้ น่าจะสูญพันธ์ุไปหมดแล้วนะ ยังเหลืออยู่อีกหรือนี่"
     นับแต่วันนั้นมา นายประดิษฐ์ ก็ถูกมองว่าเป็นคนแปลกๆ แผลงๆ  ในวงการครู  ทำท่าจะอับเฉาไปไม่เจริญในหน้าทีราชการกับเขา นายประดิษฐ์ร้อนใจจึงไปหาเจ้านายให้หายข้องใจ เจ้านายก็ถามว่า
     "คุณเคยเห็นมนุษย์ชาติในโลกนี้ที่ไหนบ้างที่ไหว้หมา  หรือคุณเคยไหว้หมา"
     นายประดิษฐ์กล่าวว่า
     "มีคนบางคน  ไหว้หมาได้ครับ บางคนมันเลียขานายได้"
     "คนๆนั้น คือคุณใช่ไหม่เล่า ?  คนอื่นๆน่ะ เขาไม่ได้หรอก  แม้แต่จะเขียนรูปคนนั่งไหว้หมา  เพราะมันเหยียดหยามคนด้วยกัน คนเห็นคนเป็นคนนั่นแหละคน  คนเห็นคนไม่ใช่คน คนนั้นไม่ใช่คน
     นายประดิษฐ์ ก็หงายหลังกลับไปนั่งเศร้าโศกตีอกชกตนอยู่ที่บ้านคนเดียว 
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  ใจคนคิดอย่างไรก็พูดก็ทำอย่างนั้น เพราะใจคนต่ำช้า จึงทำสิ่งที่ต่ำช้าเลวทราม 
๐๐๐๐๐๐๐๐
     

๑๘.เต่าเหาะ 
     ในการคร้ังหนึ่ง ยังมีสัตว์ ๒ ตัว หากินอยู่ในป่าใหญ่แห่งหนึ่ง เป็นสัตว์สี่เท้า  รูปร่างหน้าตาก็คล้ายคลึงกัน  แต่เจ้าสัตว์ ๒ ชนิดนี้  มักจะแก่งแย่งแข่งดีและอิจฉาริษยากันอยู่ในใจเสมอมา  หารักใคร่กันจริงจังไม่  สัตว์ ๒ ตัวนี้ตัวหนึ่งชื่อว่า  "เต่า"  ตัวหนึ่งชื่อว่า "กระต่าย"   แต่เจ้าเต่ามักจะคุยว่าชื่อจริงๆ  ของตัวชื่อ "ตนุ"   และเจ้ากระต่ายก็ว่าชื่อจริงๆของตัวไพเราะกว่าชื่อว่า  "ศศิ" 
     วันหนึ่ง เจ้าเต่ากับกระต่ายไปหากินก็ไปพบพระอรหันต์องค์หนึ่งในป่านั้น  ท่านได้ญาณสมาบัติมีฤทธิ์ เหาะได้  เมื่อท่านนั่งภาวนาอยู่สักพักท่านมักจะเหาะลิ่วขึ้นสู่ท้องฟ้า   หายไปได้แล้วก็กลับมานั่งที่เก่าได้อย่างอัศจรรย์  ทั้งเจ้าเต่าและเจ้ากระต่ายเห็นฤทธิ์พระอรหันต์บ่อยๆ แล้วก็เอามาเล่าให้กันฟังอย่างตาเหลือกตาแพลมสยดสยองในฤทธานุภาพของพระอรหันต์มากเหลือเกิน
     วันหนึ่งเจ้าเต่าก็นึกในใจว่า  เราจะต้องแสดงฤทธิ์ให้เจ้ากระต่ายเห็นว่าเราเหาะได้เหมือนพระอรหันต์  เจ้ากระต่ายจะได้นับถือเรา  ยอมอยู่ใต้อำนาจของเรา  และหาอาหารมาให้เรากิน  เราจะได้อยู่อย่างมีความสุข   แต่เต่านั้นไม่มีฤทธิ์เหาะเองได้  จึงต้องทำอุบายอวดกระต่ายให้เห็นฤทธิ์  เพราะเจ้าเต่ารู้นิสัยว่าเจ้ากระต่ายนั้นมักจะชอบตื่นเต้นข่าวลือ  และตื่นตูมต่อเสียงอึกทึกครึกโครมอยู่เสมอ  เจ้าเต่าจึงบอกว่า "คืนนี้เดือนหงายสว่างฟ้าเวลาเที่ยงคืน ท่านจงคอยสังเกตดูให้ดีนะเราจะเข้าไปทำพรตบำเพ็ญตบะในป่า แล้วเราจะเหาะให้ท่านดู จะเหาะคู่กับพระอรหันต์เชียวแหละ"   กระต่ายได้ฟังก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ว่าจะจริงหรืออย่างไร  จึงตั้งใจคอยดูอยู่ตลอดคืน
     ฝ่ายเจ้าเต่านั้นไปแอบซุ่มอยู่ข้างอาศรมพระอรหันต์ค่อยเดินเข้าไปอยู่ข้างหลังพระอรหันต์คอยจับตาดูว่าท่านจะเข้าที่ภาวนาเหาะลอยขึ้นเมื่อไร  พอได้จังหวะพระอรหันต์ตัวลอยขึ้น เจ้าเต่าก็เอาปากชายจีวรพระอรหันต์ไว้แน่น  ครั้นแล้วพระอรหันต์ก็เหาะลอยขึ้นไปบนอากาศสูงลิ่วขึ้้นไปบนฟ้า  พร้อมกับเจ้าเต่าเหาะลอยติดขึ้นไปด้วย 
     ส่วนเจ้ากระต่ายคอยจ้องดูอยู่  ณ ที่อยู่  ครั้นเห็นพระอรหันต์เหาะลอยขึ้นไปก็อ้าปากค้าง มองไปมองมาก็เห็นเจ้าเต่าเหาะลอยโทงเทงขึ้นไปด้วย ก็ร้องว่า "เต่าเหาะ ๆๆ " เรียกให้เพื่อนๆดูเต่าเหาะ 
     ส่วนเจ้าเต่าคาบชายจีวรพระอรหันต์เหาะลอยลิ่วขึ้นไปแล้ว  ก้มมองหาเจ้ากระต่ายกลัวจะไม่รู้ไม่เห็นว่าตัวเหาะได้  จึงร้องตะโกนลงมาว่า "กูเหาะแล้วโว้ย"
     ทันใดนั้นเอง เจ้าเต่าก็ลอยลิ่วตกลงมายังพื้นดินดังตุ๊บ  ด้วยจิตเมตตาของพระอรหันต์ท่านเพ่งญาณลงมาดูเต่า  จึงคุ้มชีวิตไว้ไม่ตาย แต่ร่างกายของเต่าก็ยุบรวมลงเหมือนเนื้อก้อนหนึ่งกลมๆ กระดูกก็แตกละเอียดหมดแล้ว  กลายเป็นกระดองเต่าห่อหุ้มเนื้่อไว้  เต่าจึงกลายเป็นสัตว์ตัวกลมๆ กระดูกออกนอกเนื้อหุ้มครอบเนื้อไว้  ดังเช่นทกวันนี้
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า   ถ้าเต่าไม่โง่คุยโอ่ก็คงจะไม่มีกระดูกออกมานอกเนื้ออย่างทุกวันนี้ 
๐๐๐๐๐๐๐๐

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น