๑๖. จิ้งจกทัก
ลูกจิ้งจกตัวหนึ่ง คอยติดตามแม่ของมันเที่ยวจับแมลงกินอยู่ตามฝาบ้านครอบครัวหนึ่ง มันเคยสังเกตเห็นแม่ของมันร้องทักร้องทักเจ้าของบ้านอยู่เป็นครั้งคราวเสมอ
วันหนึ่ง มันได้ยินเสียงแม่มันร้องทัก จุ๊ ๆ ๆ อีก มันจึงร้องถามแม่ของมันว่า ร้องทำไม ?
แม่มันตอบว่า "ร้องทักเจ้าของบ้าน"
มันจึงถามว่า "ทักเขาทำไม ?"
แม่มันตอบว่า "ทักเพื่อให้สติยั้งคิดไม่ทำชั่ว"
ลูกจิ้งจกก็ถามต่อไปว่า "มันเรื่องอะไรของเราด้วยเล่า เขาจะทำชั่วก็ชั่งเขาเป็นไร"
แม่จิ้งจกตอบว่า "เราเป็นสัตว์เล็กมาอาศัยบ้านของท่านอยู่หากิน มีความสุขตลอดมา เขาจึงเป็นผู้มีบุญคุณแก่เราอยู่ เราจึงต้องตอบแทนบุญคุณเขา เมื่อรู้ว่าเขาจะทำผิดคิดชั่ว เราจึงต้องร้องทักเตือนสติเขาไว้ มิฉนั้นก็อาจเกิดอันตรายแก่เขา เมื่อเขาได้รับอันตราย บ้านเรือนของเขาก็ต้ังอยู่ไม่ได้ เราก็ย่อมพลอยได้รับอันตรายด้วย เราจึงต้องช่วยตักเตือนท่าน เป็นการช่วยเหลือท่านด้วยความกตัญญุแบะผลแห่งกตัญญูนั้น ก็ช่วยปกป้องคุ้มครองเราให้มีความสุข"
ลูกจิ้งจกถามว่า "แม่รู้ได้อย่างไรว่า เขาจะทำชั่วคิดชั่ว?"
แม่จิ้งจกตอบว่า "รู้ได้จากการสังเกตดูสีหน้าและแสงสีที่ออกจากดวงหน้าของเขา ถ้าเขาคิดชั่วร้าย ก็จะมีแสงสีม่วง ถ้าเขาจะประสบโชคร้าย ก็จะมีแสงสีดำ"
ลูกจิ้งจกถามว่า "เมื่อเห็นแล้วจะทำอย่างไรให้เขารู้ตัวได้เล่า"
แม่จิ้งจกตอบว่า "หาจังหวะที่เหมาะๆ เมื่อใจเขามีสมาธิดีแล้ว ก็ร้องทักเขาให้ได้สติอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นเรื่องสำคัญก็ต้องเสียสละโจนตัวจากเพดานลงไปที่พื้นให้เขาเห็น ถ้าเป็นเรื่องสำคัญมากเกี่ยวกับชีวิตของเขาก็ต้องเสียสละชีวิตเรา ปล่อยตีนมือจากเพดานตกลงไปตายให้เขาเห็น เช่น ถ้าว่าเขาจะเดินทางไปประสบอันตรายถึงชีวิต เมื่อเขาจะออกจากบ้าน เราจะต้องโจนลงไปตายขวางหน้าเขาไว้เสียก่อน"
ลูกจิ้งจกถามแม่ว่า "เหตุไรเล่าจึงต้องยอมสละชีวิตเราเพื่อช่วยชีวิตเขาเช่นนั้น?"
แม่จิ้งจกตอบว่า "เพราะสัตว์มนุษย์เป็นสัตว์มีบุญคุณต่อเราอย่างหนึ่ง เพราะสัตว์มนุษย์เป็นสัตว์อายุยืนยาวกว่าเราอย่างหนึ่ง เราจึงต้องยอมเสียสละชีวิตอันเล็กน้อยของเราเพื่อช่วยเหลือชีวิตอันใหญ่ของเขาไว้"
ลูกจิ้งจกถามว่า "ถ้าเราเฉยเสียไม่ทัก ไม่ยอมสละชีวิตเตือนเขาไว้ จะเกิดอะไรขึ้นเล่า"
แม่จิ้งจกตอบว่า "เมื่อเจ้าของบ้านที่เราอยู่อาศัยหากินเกิดอันตรายถึงชีวิต ชีวิตของเราก็จะพลอยเกิดอันตรายด้วย ชีวิตทุกชีวิตในโลกนี้ย่อมเกิดมาผูกพันกัน เป็นคุณประโยชน์ต่อกันทั้งทางตรงทางอ้อมทั้งสิ้น เมื่อชีวิตอันใหญ่เกิดอันตราย ก็จะกระทบกระเทือนถึงชีวิตอันน้อยชีวิตอื่นรอบข้างด้วยเสมอ เราเกิดมาจึงต้องช่วยเหลือกัน แม้ว่าการช่วยเหลือกันและกันนั้น บางคร้ังบางคราวก็อาจจะต้องเสียสละความสุข สละทรัพย์ หรือชีวิตของเราเอง"
นิทานเรื่องสอนให้รู้ว่า ธรรมชาติสร้างชีวิตทุกชีวิตาให้มีความเกี่ยวเนื่องผูกพันกัน จึงต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และเสียสละเพื่อกันและกันอยู่เสมอ
แม่จิ้งจกตอบว่า "เราเป็นสัตว์เล็กมาอาศัยบ้านของท่านอยู่หากิน มีความสุขตลอดมา เขาจึงเป็นผู้มีบุญคุณแก่เราอยู่ เราจึงต้องตอบแทนบุญคุณเขา เมื่อรู้ว่าเขาจะทำผิดคิดชั่ว เราจึงต้องร้องทักเตือนสติเขาไว้ มิฉนั้นก็อาจเกิดอันตรายแก่เขา เมื่อเขาได้รับอันตราย บ้านเรือนของเขาก็ต้ังอยู่ไม่ได้ เราก็ย่อมพลอยได้รับอันตรายด้วย เราจึงต้องช่วยตักเตือนท่าน เป็นการช่วยเหลือท่านด้วยความกตัญญุแบะผลแห่งกตัญญูนั้น ก็ช่วยปกป้องคุ้มครองเราให้มีความสุข"
ลูกจิ้งจกถามว่า "แม่รู้ได้อย่างไรว่า เขาจะทำชั่วคิดชั่ว?"
แม่จิ้งจกตอบว่า "รู้ได้จากการสังเกตดูสีหน้าและแสงสีที่ออกจากดวงหน้าของเขา ถ้าเขาคิดชั่วร้าย ก็จะมีแสงสีม่วง ถ้าเขาจะประสบโชคร้าย ก็จะมีแสงสีดำ"
ลูกจิ้งจกถามว่า "เมื่อเห็นแล้วจะทำอย่างไรให้เขารู้ตัวได้เล่า"
แม่จิ้งจกตอบว่า "หาจังหวะที่เหมาะๆ เมื่อใจเขามีสมาธิดีแล้ว ก็ร้องทักเขาให้ได้สติอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นเรื่องสำคัญก็ต้องเสียสละโจนตัวจากเพดานลงไปที่พื้นให้เขาเห็น ถ้าเป็นเรื่องสำคัญมากเกี่ยวกับชีวิตของเขาก็ต้องเสียสละชีวิตเรา ปล่อยตีนมือจากเพดานตกลงไปตายให้เขาเห็น เช่น ถ้าว่าเขาจะเดินทางไปประสบอันตรายถึงชีวิต เมื่อเขาจะออกจากบ้าน เราจะต้องโจนลงไปตายขวางหน้าเขาไว้เสียก่อน"
ลูกจิ้งจกถามแม่ว่า "เหตุไรเล่าจึงต้องยอมสละชีวิตเราเพื่อช่วยชีวิตเขาเช่นนั้น?"
แม่จิ้งจกตอบว่า "เพราะสัตว์มนุษย์เป็นสัตว์มีบุญคุณต่อเราอย่างหนึ่ง เพราะสัตว์มนุษย์เป็นสัตว์อายุยืนยาวกว่าเราอย่างหนึ่ง เราจึงต้องยอมเสียสละชีวิตอันเล็กน้อยของเราเพื่อช่วยเหลือชีวิตอันใหญ่ของเขาไว้"
ลูกจิ้งจกถามว่า "ถ้าเราเฉยเสียไม่ทัก ไม่ยอมสละชีวิตเตือนเขาไว้ จะเกิดอะไรขึ้นเล่า"
แม่จิ้งจกตอบว่า "เมื่อเจ้าของบ้านที่เราอยู่อาศัยหากินเกิดอันตรายถึงชีวิต ชีวิตของเราก็จะพลอยเกิดอันตรายด้วย ชีวิตทุกชีวิตในโลกนี้ย่อมเกิดมาผูกพันกัน เป็นคุณประโยชน์ต่อกันทั้งทางตรงทางอ้อมทั้งสิ้น เมื่อชีวิตอันใหญ่เกิดอันตราย ก็จะกระทบกระเทือนถึงชีวิตอันน้อยชีวิตอื่นรอบข้างด้วยเสมอ เราเกิดมาจึงต้องช่วยเหลือกัน แม้ว่าการช่วยเหลือกันและกันนั้น บางคร้ังบางคราวก็อาจจะต้องเสียสละความสุข สละทรัพย์ หรือชีวิตของเราเอง"
นิทานเรื่องสอนให้รู้ว่า ธรรมชาติสร้างชีวิตทุกชีวิตาให้มีความเกี่ยวเนื่องผูกพันกัน จึงต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และเสียสละเพื่อกันและกันอยู่เสมอ
๑๗. คนไหว้หมา
เด็กชายประดิษฐ์ บ้านแหลม เป็นเด็กยากจน พ่อแม่หาเช้ากินค่ำ เรียนหนังสือจบชั้น ป.๔ แล้วก็ออกจากโรงเรียน แต่เด็กชายประดิษฐ์เป็นเด็กอ่อนแอ ช่วยเหลือแม่ทำงานรับจ้างเป็นกรรมกรไม่ไหว จึงได้เข้าบวชเณร แล้วจึงเอาดีทางพระ เรียนจบนักธรรมชั้นเอก แล้วอาจารย์ก็ส่งเข้าเรียนต่อเปรียญทีวัดในกรุงเทพฯ จนกระทั่งอายุครบบวชก็ได้บวชเป็นพระ วันหนึ่งได้รับนิมนต์ไปฉันอาหารในงานทำบุญบ้านท่านจอมพลคนหนึ่ง ซึ่งเลี้ยงสุนัขพันธ์ุฝรั่งไว้ฝูงใหญ่ ถึงกับต้องจ้างคนเลี้ยงหมา พระประดิษฐ์เดินผ่านกรงหมาไปใกล้ๆ จึงได้มองเห็นอาหารหมาวันนั้น เป็นเนื้อวัวสดๆกระดูกหมู มองดูก็กะประมาณว่าค่าอาหารหมาคราวนั้นตกหลายร้อยบาท ยิ่งกว่านั้นยังมีนมสดเลี้ยงหมาด้วย พระประดิษฐ์มองเห็นแล้วก็เกิดความสลดใจในสภาพของตนเอง พ่อแม่ และพี่น้อง เกิดมาเป็นคนแต่จนยิ่งกว่าหมา อาหารหมามื้อนี้มากกว่าอาหารที่บ้านเราตั้งเดือน อย่าว่าแต่เนื้อหมู เนื้อวัว นมสดเลย ข้าวจะหุงกินบางมื้อก็ไม่มี ต้องต้มกิน บางทีก็ต้องหุงผสมเผือกมันกินพออิ่มกันตายในมื้อหนึ่งๆ "เออ หมาเหล่านี้วาสนาดีกว่าเราเสียอีก ทำบุญอะไรไว้หนอ เราอยากจะไหว้หมาเสียแล้ว" พระภิกษุประดิษฐ์ครุ่นคิดในใจ จนกระทั่งกลับไปวัดวันนั้น พระประดิษฐ์ก็ยังครุ่นคิดไม่หาย พระประดิษฐ์มีฝีมือวาดภาพเป็นอยู่บ้าง พอวาดรูปคนรูปหมาและรูปดอกไม้กับต้นไม้ หรือรูปวัดรูปบ้านให้พอมองออกว่าอะไรเป็นอะไร ไม่ถึงแก่มีฝีมือชั้นจิตรกรหรือวิจิตรศิลป์อะไร อารมณ์ที่คิดไปก็เลยเอาพู่กันวาดภาพหมานั่งอยู่บนเก้าอี้ มีรูปพระนั่งหมอบไหว้สุนัขแล้วก็นั่งดูอยู่พลางคิด อะไรไปต่างๆ
พอดีขณะนั้นท่านเจ้าคุณเดินมาพบเข้า เห็นภาพพระภิกษุกำลังนั่งไหว้หมาอยู่
"นี่คุณประดิษฐ์ คุณเคยเห็นโคตรพ่อโคตรแม่ของคุณไหว้หมาหรือ?"
"เปล่าครับ"
"แล้วนี่คุณเขียนภาพพระไหว้หมาทำไม ?"
"บางทีหมามันมีวาสนามากกว่าคน"
"แล้วนีคุณเขียนภาพพระไหว้หมาทำไม"
"อ้อ... ยังนั้นนี่เล่า ผมดูคุณแปลกๆ ไปหมู่นี้ ผมไม่คิดว่าพระในวัดผมจะมีความคิดต่ำช้าแบบเดรัจฉานอย่างนี้"
"ผมไม่ได้หมายความยังงั้น"
"เอาละ การกระทำมันส่อเจตนา ผมขอให้คุณออกไปจากวัดผมได้ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ วัดของผมไม่ต้อนรับพระนอกรึตอย่างคุณ" ว่าแล้วท่านก็หันหลังกลับ
พระประดิษฐ์ก็ลาสึก แต่เพราะมีความรู้สอบได้วิชาชุด พกศ. จึงได้สมัครเข้าเป็นครูในจังหวัด
นายประดิษฐ์ บ้านแหลม เป็นครูที่ชอบขีดเขียนตามนิสัยเดิม อยู่มาวันหนึ่ง เกิดความคิดว่า
"ตัวเรานี้ก็เป็นคนนะ แต่เจ้านายบางคนเหมือนหมา ้เราเป็นคนต้องอยู่ใต้ปกครองของหมา เป็นคนต้องไหว้หมา" จึงได้เขียนรูปคนไหว้หมาลงในหนังสือที่ระลึกการจัดงานแห่งหนึ่ง เมื่อรู้ถึงเจ้านายก็สอบถามว่าใครเขียนรูปภาพนี้ คนก็บอกว่านายประดิษฐ์เขียน เจ้านายก็พูดว่า
" เอ คนที่มีความคิดจิตต่ำช้าอย่างนี้ น่าจะสูญพันธ์ุไปหมดแล้วนะ ยังเหลืออยู่อีกหรือนี่"
นับแต่วันนั้นมา นายประดิษฐ์ ก็ถูกมองว่าเป็นคนแปลกๆ แผลงๆ ในวงการครู ทำท่าจะอับเฉาไปไม่เจริญในหน้าทีราชการกับเขา นายประดิษฐ์ร้อนใจจึงไปหาเจ้านายให้หายข้องใจ เจ้านายก็ถามว่า
"คุณเคยเห็นมนุษย์ชาติในโลกนี้ที่ไหนบ้างที่ไหว้หมา หรือคุณเคยไหว้หมา"
นายประดิษฐ์กล่าวว่า
"มีคนบางคน ไหว้หมาได้ครับ บางคนมันเลียขานายได้"
"คนๆนั้น คือคุณใช่ไหม่เล่า ? คนอื่นๆน่ะ เขาไม่ได้หรอก แม้แต่จะเขียนรูปคนนั่งไหว้หมา เพราะมันเหยียดหยามคนด้วยกัน คนเห็นคนเป็นคนนั่นแหละคน คนเห็นคนไม่ใช่คน คนนั้นไม่ใช่คน
นายประดิษฐ์ ก็หงายหลังกลับไปนั่งเศร้าโศกตีอกชกตนอยู่ที่บ้านคนเดียว
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ใจคนคิดอย่างไรก็พูดก็ทำอย่างนั้น เพราะใจคนต่ำช้า จึงทำสิ่งที่ต่ำช้าเลวทราม
๐๐๐๐๐๐๐๐
๑๘.เต่าเหาะ
ในการคร้ังหนึ่ง ยังมีสัตว์ ๒ ตัว หากินอยู่ในป่าใหญ่แห่งหนึ่ง เป็นสัตว์สี่เท้า รูปร่างหน้าตาก็คล้ายคลึงกัน แต่เจ้าสัตว์ ๒ ชนิดนี้ มักจะแก่งแย่งแข่งดีและอิจฉาริษยากันอยู่ในใจเสมอมา หารักใคร่กันจริงจังไม่ สัตว์ ๒ ตัวนี้ตัวหนึ่งชื่อว่า "เต่า" ตัวหนึ่งชื่อว่า "กระต่าย" แต่เจ้าเต่ามักจะคุยว่าชื่อจริงๆ ของตัวชื่อ "ตนุ" และเจ้ากระต่ายก็ว่าชื่อจริงๆของตัวไพเราะกว่าชื่อว่า "ศศิ"
วันหนึ่ง เจ้าเต่ากับกระต่ายไปหากินก็ไปพบพระอรหันต์องค์หนึ่งในป่านั้น ท่านได้ญาณสมาบัติมีฤทธิ์ เหาะได้ เมื่อท่านนั่งภาวนาอยู่สักพักท่านมักจะเหาะลิ่วขึ้นสู่ท้องฟ้า หายไปได้แล้วก็กลับมานั่งที่เก่าได้อย่างอัศจรรย์ ทั้งเจ้าเต่าและเจ้ากระต่ายเห็นฤทธิ์พระอรหันต์บ่อยๆ แล้วก็เอามาเล่าให้กันฟังอย่างตาเหลือกตาแพลมสยดสยองในฤทธานุภาพของพระอรหันต์มากเหลือเกิน
วันหนึ่งเจ้าเต่าก็นึกในใจว่า เราจะต้องแสดงฤทธิ์ให้เจ้ากระต่ายเห็นว่าเราเหาะได้เหมือนพระอรหันต์ เจ้ากระต่ายจะได้นับถือเรา ยอมอยู่ใต้อำนาจของเรา และหาอาหารมาให้เรากิน เราจะได้อยู่อย่างมีความสุข แต่เต่านั้นไม่มีฤทธิ์เหาะเองได้ จึงต้องทำอุบายอวดกระต่ายให้เห็นฤทธิ์ เพราะเจ้าเต่ารู้นิสัยว่าเจ้ากระต่ายนั้นมักจะชอบตื่นเต้นข่าวลือ และตื่นตูมต่อเสียงอึกทึกครึกโครมอยู่เสมอ เจ้าเต่าจึงบอกว่า "คืนนี้เดือนหงายสว่างฟ้าเวลาเที่ยงคืน ท่านจงคอยสังเกตดูให้ดีนะเราจะเข้าไปทำพรตบำเพ็ญตบะในป่า แล้วเราจะเหาะให้ท่านดู จะเหาะคู่กับพระอรหันต์เชียวแหละ" กระต่ายได้ฟังก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ว่าจะจริงหรืออย่างไร จึงตั้งใจคอยดูอยู่ตลอดคืน
ฝ่ายเจ้าเต่านั้นไปแอบซุ่มอยู่ข้างอาศรมพระอรหันต์ค่อยเดินเข้าไปอยู่ข้างหลังพระอรหันต์คอยจับตาดูว่าท่านจะเข้าที่ภาวนาเหาะลอยขึ้นเมื่อไร พอได้จังหวะพระอรหันต์ตัวลอยขึ้น เจ้าเต่าก็เอาปากชายจีวรพระอรหันต์ไว้แน่น ครั้นแล้วพระอรหันต์ก็เหาะลอยขึ้นไปบนอากาศสูงลิ่วขึ้้นไปบนฟ้า พร้อมกับเจ้าเต่าเหาะลอยติดขึ้นไปด้วย
ส่วนเจ้ากระต่ายคอยจ้องดูอยู่ ณ ที่อยู่ ครั้นเห็นพระอรหันต์เหาะลอยขึ้นไปก็อ้าปากค้าง มองไปมองมาก็เห็นเจ้าเต่าเหาะลอยโทงเทงขึ้นไปด้วย ก็ร้องว่า "เต่าเหาะ ๆๆ " เรียกให้เพื่อนๆดูเต่าเหาะ
ส่วนเจ้าเต่าคาบชายจีวรพระอรหันต์เหาะลอยลิ่วขึ้นไปแล้ว ก้มมองหาเจ้ากระต่ายกลัวจะไม่รู้ไม่เห็นว่าตัวเหาะได้ จึงร้องตะโกนลงมาว่า "กูเหาะแล้วโว้ย"
ทันใดนั้นเอง เจ้าเต่าก็ลอยลิ่วตกลงมายังพื้นดินดังตุ๊บ ด้วยจิตเมตตาของพระอรหันต์ท่านเพ่งญาณลงมาดูเต่า จึงคุ้มชีวิตไว้ไม่ตาย แต่ร่างกายของเต่าก็ยุบรวมลงเหมือนเนื้อก้อนหนึ่งกลมๆ กระดูกก็แตกละเอียดหมดแล้ว กลายเป็นกระดองเต่าห่อหุ้มเนื้่อไว้ เต่าจึงกลายเป็นสัตว์ตัวกลมๆ กระดูกออกนอกเนื้อหุ้มครอบเนื้อไว้ ดังเช่นทกวันนี้
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าเต่าไม่โง่คุยโอ่ก็คงจะไม่มีกระดูกออกมานอกเนื้ออย่างทุกวันนี้
๐๐๐๐๐๐๐๐
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น