วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2558

นิทานธรรมดาโลก (๑๖)


๔๗. คนย้อมแมวขาย

     ยังมีกระทาชายนายหนึ่ง  เป็นคนชอบเลี้ยงแมว  แต่เป็นคนทุจริตประเภทฉลาดแกมโกง  เมื่อรู้ว่าคนโบราณพูดกันว่า "แมวสามสีมีโชค ใครเลี้ยงไว้จะนำโชคมาให้"  แต่แมวสามสีมักจะเป็นแมวตัวเมียเสียร้อยละร้อย จะหาแมวตัวผู้สามสีไมมีเจอะเจอเลย  เขาจึงคิดวิธีทำให้แมวตัวผู้มีสามสีขึ้นมาได้  โดยเอาแมวตัวผู้สองสีมาแต้มสีเข้าอีกสีหนึ่ง  เช่นแมวสีดำขาว  เขาก็เอาสีเหลืองมาแต้มจุดเข้าตรงหู  หาง  หรือ ขาข้างใดข้างหนึ่งให้เป็นแมวสามสี  แล้วก็ขายแมวได้ราคาแพง  เมื่อคนซื้อไปเลี้ยงไว้สักระยะหนึ่ง สีที่แต้มจางหายไป มาต่อว่าเขา เขาก็จะตอบบ่ายเบี่ยงว่าเป็นคนไม่มีบุญ  ไม่มีโชค หรืออับโชคเลี้ยงแมวไม่ขึ้น  แมวสามสีจึงกลายเป็นสองสีภายหลัง 
     เพราะเหตุทึ่คนไทยเป็นคนเชื่อมงคลตื่นข่าวตามคำโบราณว่า " เจ๊กตื่นไฟ ไทยตื่นข่าว  สาวตื่นผี และในโลกนี้มีคนโง่มากกว่าคนฉลาด"คนโง่จึงตกเป็นเหยื่อของคนฉลาดตลอดมา  ชายคนนี้จึงมีอาชีพ ย้อมแมวขายได้เรื่อยๆมา แม้จะมีคนบางคนฉลาดรู้ทัน ต้ังสมญาว่า "คนย้อมแมวขาย"  แต่ก็ยังมีคนหลงเชื่ออยู่เรื่อยมา
     อยู่มาวันหนึ่ง  ก็เกิดมีคนดีขึ้นมาแก้มือชายย้อมแมวขาย  โดยได้มาดูแมวที่บ้านชายคนนี้แล้วก็บอกว่า มีแมวที่บ้านเกิดใหม่ครอกหนึ่ง มี ๕ ตัวล้วนแต่สามสีทุกตัว  โบราณว่าแมวห้าหมาหกห้ามเลี้ยง  จึงขอให้ไปดู ถ้าชอบใจจะขายให้ทั้ง ๕ ตัว  เป็นการล้างซวย  ชายย้อมแมวขายจึงไปดูแมวสามสี  ๕ ตัวที่บ้านชายคนน้ันก็เห็นว่า เป็นแมวสามสีจริง  ชายคนนี้ก็ไม่มีอาชีพย้อมแมวขาย จึงดีใจกะว่าจะได้กำไรมาก  จึงขอซื้อมาด้วยราคาแพงถึงตัวละชั่ง  หวังจะเอามาขายได้ตัวละหลายชั่งให้บ้านเศรษฐีทั้งหลายที่ชอบเลี้ยงแมว  เมื่อเลี้ยงไว้ด้วยความทนุถนอมจนโตขึ้นสีก็จางหายไปทุกที  ค่าที่ตัวเองเคยประพฤติทุจริตหลอกย้อมแมวขายมามาก  ก็นึกในใจว่าหนนี้ตัวเราโดนหลอกย้อมแมวขายบ้างแล้ว  แต่ใจหนึ่งก็นึกไปถึงบาปกรรมที่เคยหลอกย้อมแมวขายมามากแล้ว  คงจะมีเหตุอันเป็นให้แมวสามสีจริงๆ กลายเป็นสองสีไปเสียได้ดังนี้  ก็ได้แต่นิ่งเฉยอยู่  ไม่กล้าไปต่อว่าชายคนน้ัน เพราะใจหนึ่งก็นึกอายเขาที่ตนเสียรู้เขาเสียแล้ว  เสียแรงเป็นผู้เชี่ยวชาญในการดูแมวกลับถูกคนตบตาได้  กลัวข่าวจะอื้ออึงไปให้คนอื่นรู้จึงเก็บความลับน้ันไว้ต่อมา  โดยเสียเงินค่าซื้อความรู้มาถึง ๕ ชั่งเจ๋ง ๆ มิหนำซ้ำชายคนขายแมวยังติดตามมาดูแมวของตนแล้วก็บ่นว่า ชายคนย้อมแมวขายนี้เห็นจะโชคไม่ดีเสียแล้ว  แมวจึงกลายจากสองสีเป็นสองสีได้เช่นนี้
     "ครับ ผมนะโชคไม่ดีด้วย  ตาไม่ดีด้วย  แล้วใจก็ไม่ดีมาแต่เดิมด้วย มันจึงเป็นเช่นนี้"  ชายย้อมแมวขายพูดอย่างไว้เชิงและปลงตก
     นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า  เมื่อหลอกเขาได้เราก็ย่อมจะถูกหลอกได้เหมือนกัน 
๐๐๐๐๐๐๐๐

๔๘. หนอนแก้วออกลูก

     หนอนชนิดหนึ่ง คนเรียกชื่อกันต่างๆ บ้างก็เรียกว่าหนอนแก้ว  ด้วยสีเขียวเหมือนใบไม้ มีขาเกาะคลานไปตามกิ่งไม้ใบไม้ได้  ชอบเกาะอยู่ตามต้นส้ม  มันมีหนวดสีเหลือง  ขนาดตัวมันยาวประมาณ ๑ นิ้วฟุต มันชอบกินใบอ่อนของต้นส้ม
     ครั้งหนึ่งเจ้าหนอนแก้วสีเขียวมันเกาะอยู่ที่กิ่งส้ม  มันถึงคราวจะต้องมีลูกสืบพันธุ์ต่อไปมิให้สูญพันธุ์  มันจึงเตรียมการออกไข่ของมันตามธรรมชาติของหนอนแก้ว  
     วันหนึ่งมันพบแมลงผึ้ง ซึ่งบินมาดูดกินดอกส้ม  มันจึงถามว่าแมลงผึ้งอย่างพวกท่านออกไข่ไว้ที่ไหน ?
     ผึ้งตอบว่า เราไม่ต้องออกไข่เองหรอก  แต่เรามีแม่นางพญาผึ้งใหญ่อ้วน มีไข่หลายพันหลายหมื่น  นางพญาผึ้งมีหน้าที่ออกไข่  ติดไว้ตามช่องในรวงผึ้ง ซึ่งทำด้วยน้ำตาลอ่อนหวาน  ตัวผึ้งอ่อนๆก็ย่อมกินน้ำผึ้งอยู่ในรังจนเติบโต  ไม่ต้องอนาทรร้อนใจอันใดเลย  เพราะมีผึ้งงานหรือผึ้งกรรมกรอย่างพวกเรา  มีหน้าที่หาอาหารจากเกสรดอกไม้ไปสร้างรวงรัง  และทำน้ำหวานอยู่ตลอดเวลา 
     เจ้าหนอนแก้ว ได้ฟังแล้วก็มิได้ว่าอย่างไร  เพราะคิดไม่เห็นว่าการออกไข่ฟักไข่ของแมลงผึ้ง ทำไมจึงวิจิตรพิศดารดังน้ันหนอ 
     ต่อมาเจ้าหนอนแก้ว ได้พบแมลงวัน บินมาเกาะกิ่งส้มมันจึงถามว่า แมลงวันออกไข่ไว้ที่ไหน
     แมลงวันตอบว่า ไม่ยากเย็นอะไร เราหากินตามมูลสัตว์ที่ถ่ายทิ้งไว้  แล้วเราก็ไข่ฝากไว้ตามมูลสัตว์น้ัน เมื่อไข่ของเราออกมาเป็นตัวหนอน  ก็กินอาหารจากมูลสัตว์น้ันจนเติบโต  เป็นตัวแมลงวันได้  ไม่ต้องวิตกห่วงใยเลี้ยงดูอะไรเลย 
     เจ้าหนอนแก้วฟังแล้วก็นึกในใจว่า  เราจะทำมักง่ายอย่างเจ้าแมลงวันก็ไม่ได้  เพราะเรามิใช่แมลงวัน  เราต้องทำตามวิถีชีวิตของหนอนแก้ว ที่ทำมาแต่ต้นตระกูลของเรา ที่พระผู้เป็นเจ้าได้สร้างชีวิตของเรามา 
     คิดแล้วมันก็กินใบส้มอ่อนผสมน้ำลาย แล้วคายออกมาติดกับกิ่งส้ม  พยายามกินใบส้มแล้วเคี้ยวคายเมือกออกมา ต่อเติมเป็นรูปตัวหนอนแก้ว ต่อแต้มตีนและหนวดจนเหมือนร่างกายของหนอนไม่มีผิดทุกส่วนสัด แม้แต่หนวดก็แต้มสีเหลืองไว้ที่ปลายหนวด   เสร็จแล้วมันเจาะช่องเข้า เริ่มออกไข่ฝากไว้ในตัวหนอนแก้วจำลองที่มันสร้างไว้แทนตัว  ให้กกไข่แทนมัน  เมื่อหนอนแก้วเติบโตก็กัดกินรังมันเป็นอาหารจนเติบโตเป็นตัวหนอนแก้วเต็มที่แล้ว  ก็กลายออกมาเป็นตัวหนอนแก้วอีกตัวหนึ่ง  ทิ้งซากหนอนแก้วที่แม่มันสร้างไว้กับกิ่งส้มนั้น
     นิทานเรื่องนี้  เป็นนิทานเรื่องจริงของหนอนแก้ว  เพื่อสอนให้รู้ว่า บรรดาสัตว์น้อยใหญ่ที่เกิดมาในโลกนี้ ย่อมมีวิถีชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายไปตามธรรมชาติของมัน  ตามที่พระพรหมได้สร้างมันขึ้นมา มันย่อมจะปฎิบ้ติตัวไปตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติของมันไม่เคยเปลี่ยนแปลง และไม่มีสัตว์ต่างชนิดคิดเอาแบบอย่างไปประพฤติได้เลย 
๐๐๐๐๐๐๐๐

๔๙. แมงเม่าบินเข้ากองไฟ

     ยังมีมดปลวกจำพวกหนึ่ง  ตัวเล็ก ลำตัวสีขาว  นิ่มๆ อยู่กันเป็นหมู่เหล่า มีตึกรามบ้านเรือนสร้างอยู่อาศัยอย่างเป็นระเบียบแบบแผน  มีที่นอนที่เก็บอาหารพร้อม  แบ่งออกเป็นห้องเป็นตึกอยู่กันอย่างเป็นระเบียบแบบแผน  เป็นบ้านเป็นเมืองอันวิจิตรพิศดาร
     เมื่อมดปลวกจำพวกนี้มีความสุขความเจริญเต็มที่แล้ว  มันก็จะเริ่มมีลำตัวอ้วนโตขึ้นกว่าเดิมประมาณ ๕ เท่าตัว   แล้วมีปีกงอกขึ้น พร้อมที่จะบินโลดโผนขึ้นสู่อากาศ เหมือนสัตว์มนุษย์ที่เจริญสูงสุดแล้วก็สร้างเครื่องบินร่อนไปในอากาศได้ฉะนั้น 
     คร้ันฝนตกฝนแรก  เปียกดินปลวกรังของมัน  มันก็รู้ว่าฝนตกแล้ว  มันก็พากันออกจากรังของมัน  แล้วออกบินโลดขึ้นไปได้เหมือนสัตว์ปีกอื่นๆ ในโลก  แต่เพราะมันไม่เคยชินกับชีวิตการมีปีกบิน แล้วมันก็ไม่รู้ว่าจะบินไปไหน เพื่อไปทำอะไรต่อไป เพียงแต่รู้ตัวว่ามันมีฤทธิ์เดช มีพละกำลังบินขึ้นไปได้  ซึ่งมันไม่เคยคิดไม่เคยทำมาก่อน มันจึงมีความดีใจ ออกบินไปตามกำลังปีกของมัน เมื่อมันเห็นแสงไฟสว่างจ้าอยู่ข้างหน้า มันก็เกิดความสนุกสนานยินดี จะได้เล่นกับแสงไฟอันสุกสว่างสวยงามประหลาดตาน้ัน มันจึงบินเข้าไปแล้วก็ถูกความร้อนของไฟไหม้ปีกมันตกลงมาตายเสียมากต่อมาก ที่ถูกฝนเปียกปีกหลุด ตกลงมาสู่พื้นดินก็มีมาก มันจึงเดินตามกันไปเป็นแถว เข้ารังเดิมของมันไม่ถูก ได้แต่เดินเปะปะไป ถูกสัตว์อื่นกินเสียบ้าง ถูกสัตว์อื่นเหยียบตายเสีย ไม่มีมดปลวกมีปีกมีฤทธิ์บินเหาะเหิรเดินอากาศได้ตัวใดเลย  ที่จะกลับรวงรังไปมีชีวิตอยู่เหมือนเดิม เพราะใจมันแตกผิดแปลกจากมดปลวกธรรมดาเสียแล้ว
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า สัตว์โลกที่เจริญถึงขีดสูงสุด  ย่อมจะพาชีวิตไปสู่ความวิบัติ ไม่อาจจะกลับคืนมีชีวิตเหมือนสัตว์ประเภทเดิมได้อีกเลย  ความเจริญถึงขีดสูงสุดของสัตว์ย่อมเป็นเครื่องทำลายสัตว์โดยแท้  แม้แต่มนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์อันประเสริฐ ก็ไม่พ้นความสัจจริงข้อนี้เลย  เมื่อมีชีวิตรุ่งเรืองสูงสุดแล้ว  ก็หลงระเริงไป จนเกิดความวิบัติแก่ตนเอง และวงศ์ตระกูล
๐๐๐๐๐๐๐๐

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น