๔๔ งูงอดกับกิ้งกือ
คร้ังหนึ่งงูงอดกับกิ้งกือได้เดินทางมาพบกันเข้าอย่างจังหน้าโดยบังเอิญ งูงอดตัวเล็กๆลายๆเป็นจุดขาวๆ กับกิ้งกือตัวแดงเข้ม มีตีนถึงร้อยพันตีน ต่างก็เพ่งมองความแปลกประหลาดในรูปร่างของอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งแตกต่างกันมาก
ฝ่ายงูงอด เพ่งมองจนทั่วตลอดหัวตลอดหางกิ้งกือแล้วก็ร้องถามว่า "ท่านมีตืนตั้งพันตีนเช่นนี้ เหตุไฉนจึงเดินช้านักเล่า ?"
กิ้งกือตอบว่า "เราไม่ต้องรีบร้อนไปไหน อาหารของเราก็อยู่ตามพื้นดิน เราไม่ต้องรีบร้อนฉกฉวยหากินแก่งแย่งกับสัตว์ใด อีกประการหนึ่งเล่า เราก็ไม่มีเวรมีภัยกับสัตว์น้อยใหญ่อื่นใด เราจึงไม่ต้องมีตีนอันว่องไวไว้สำหรับหนีหรือไล่สัตว์อื่น
แล้วกิ้งกือก็ถามงูงอดว่า
"ท่านมีรูปร่างอันอัปลักษณ์แท้ๆ ตืนมือก็ไม่มี ท่านจะเดินทางได้อย่างไร ท่านจะเอาอะไร จับอาหารกินได้เล่า ?"
งูงอดตอบว่า
"เราไม่ต้องมีตืนมีเท้าให้รุงรังเกะกะเลย เพราะเราสามารถเดินทางได้ด้วยพลังกาย พลังใจภายใน เรานึกจะไปโดยเร็วหรือช้า เราก็พุ่งตัวไปข้างหน้า หักซ้าย หักขวา ไปด้วยกำลังลำตัวของเรา เราสามารถเดินทางได้อย่างรวดเร็วแม้ต้นไม้เราก็ขึ้นได้โดยง่าย เราจะขึ้นต้นไม้ให้ท่านดูเดี๋ยวนี้ก็ได้"
แล้วงูงอดก็ย้อนถามกิ้งกือว่า
"เวลาท่านพบศัตรู ที่จะแกล้งทำร้ายท่านเล่า ท่านจะต่อสู้ศัตรูอย่างไร? ตืนของท่านมีมาก แต่ก็มีขนาดเล็กเหลือเกินนัก ?"
"เราไม่ต้องต่อสู้อะไรเลย เราเพียงแต่ม้วนตัวกลมๆ เข้าทำอาการเหมือนว่าตายแล้ว สัตว์อื่นก็เลยไม่สนใจเราอีก เราจึงปลอดภัยเพราะการยอมแพ้ยอมตายเสียก่อน ชีวิตของเราจึงปลอดภัยตลอดมา ไม่มีสัตว์ใดทำลายเราโดยจงใจ นอกจากสัตว์โตๆ เผลอเหยียบเราเข้าโดยไม่จงใจเท่านั้น แต่ก็มีน้อยเหลือเกิน"
แล้วกิ้งกือก็ย้อนถามงูงอดบ้างว่า
"เวลาพบศัตรูท่านต่อสู้เอาตัวรอดได้อย่างไร ไม่มีมือตีนจะต่อสู้เลย?"
งูยิ้มอย่างน่าเกลียดแล้วตอบว่า
"เราก็ฉกกัดทันที เขี้ยวเรานี้ย่อมมีพิษร้ายอยู่ เมื่อเรากัดแล้ว พิษร้ายแห่งเขี้ยวเราย่อมจะทำให้สัตว์นั้นสะดุ้งหนีไป หรือบางทีก็ตายอยู่ตรงน้ันเอง"
กิ้งกือพูดว่า การต่อสู้เอาตัวรอดของท่านเป็นการทำร้ายผู้อื่น ทำให้มีศัตรูมีภัยจากสัตว์อื่น ชีวิตของท่านคงไม่ปลอดภัยเท่าไรนัก เพราะสัตว์อื่นก็ย่อมมีเขี้ยวเล็บเหมือนกันที่จะทำร้ายท่านตอบแทน โดยเฉพาะสัตว์จำพวกมนุษย์ ย่อมมีอาวุธร้ายแรง ฟันแทง ทุบตีท่านจนตาย ไม่ไว้ชีวิตท่านแน่ ส่วนวิธีการต่อสู้เอาตัวรอดของเราดีกว่า ไม่ได้ทำร้ายใคร จึงไม่มีภัย ไม่มีใครเกลียดกลัวเรา แม้แต่มนุษย์ผู้มีอาวุธร้ายแรง เห็นเราแล้วก็ไม่เคยทำอันตรายเราเลย"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า สัตว์ทั้งหลายย่อมเกิดมามีร่างกายอันเหมาะสมที่จะมีชีวิตอยู่ตามอัตภาพของตน และมีวิธีต่อสู้เอาตัวรอดของตนแตกต่างกันออกไป ตามที่พระพรหมได้สร้างมาแล้ว แต่การต่อสู้เอาชีวิตรอดที่ดีที่สุดนั้นคือ การไม่ต้องทำร้ายชีวิตและร่างกาย ของสัตว์อื่น จึงไม่มีเวรมีภัยที่จะต้องระวังตัวกลัวอะไรเลย
ฝ่ายงูงอด เพ่งมองจนทั่วตลอดหัวตลอดหางกิ้งกือแล้วก็ร้องถามว่า "ท่านมีตืนตั้งพันตีนเช่นนี้ เหตุไฉนจึงเดินช้านักเล่า ?"
กิ้งกือตอบว่า "เราไม่ต้องรีบร้อนไปไหน อาหารของเราก็อยู่ตามพื้นดิน เราไม่ต้องรีบร้อนฉกฉวยหากินแก่งแย่งกับสัตว์ใด อีกประการหนึ่งเล่า เราก็ไม่มีเวรมีภัยกับสัตว์น้อยใหญ่อื่นใด เราจึงไม่ต้องมีตีนอันว่องไวไว้สำหรับหนีหรือไล่สัตว์อื่น
แล้วกิ้งกือก็ถามงูงอดว่า
"ท่านมีรูปร่างอันอัปลักษณ์แท้ๆ ตืนมือก็ไม่มี ท่านจะเดินทางได้อย่างไร ท่านจะเอาอะไร จับอาหารกินได้เล่า ?"
งูงอดตอบว่า
"เราไม่ต้องมีตืนมีเท้าให้รุงรังเกะกะเลย เพราะเราสามารถเดินทางได้ด้วยพลังกาย พลังใจภายใน เรานึกจะไปโดยเร็วหรือช้า เราก็พุ่งตัวไปข้างหน้า หักซ้าย หักขวา ไปด้วยกำลังลำตัวของเรา เราสามารถเดินทางได้อย่างรวดเร็วแม้ต้นไม้เราก็ขึ้นได้โดยง่าย เราจะขึ้นต้นไม้ให้ท่านดูเดี๋ยวนี้ก็ได้"
แล้วงูงอดก็ย้อนถามกิ้งกือว่า
"เวลาท่านพบศัตรู ที่จะแกล้งทำร้ายท่านเล่า ท่านจะต่อสู้ศัตรูอย่างไร? ตืนของท่านมีมาก แต่ก็มีขนาดเล็กเหลือเกินนัก ?"
"เราไม่ต้องต่อสู้อะไรเลย เราเพียงแต่ม้วนตัวกลมๆ เข้าทำอาการเหมือนว่าตายแล้ว สัตว์อื่นก็เลยไม่สนใจเราอีก เราจึงปลอดภัยเพราะการยอมแพ้ยอมตายเสียก่อน ชีวิตของเราจึงปลอดภัยตลอดมา ไม่มีสัตว์ใดทำลายเราโดยจงใจ นอกจากสัตว์โตๆ เผลอเหยียบเราเข้าโดยไม่จงใจเท่านั้น แต่ก็มีน้อยเหลือเกิน"
แล้วกิ้งกือก็ย้อนถามงูงอดบ้างว่า
"เวลาพบศัตรูท่านต่อสู้เอาตัวรอดได้อย่างไร ไม่มีมือตีนจะต่อสู้เลย?"
งูยิ้มอย่างน่าเกลียดแล้วตอบว่า
"เราก็ฉกกัดทันที เขี้ยวเรานี้ย่อมมีพิษร้ายอยู่ เมื่อเรากัดแล้ว พิษร้ายแห่งเขี้ยวเราย่อมจะทำให้สัตว์นั้นสะดุ้งหนีไป หรือบางทีก็ตายอยู่ตรงน้ันเอง"
กิ้งกือพูดว่า การต่อสู้เอาตัวรอดของท่านเป็นการทำร้ายผู้อื่น ทำให้มีศัตรูมีภัยจากสัตว์อื่น ชีวิตของท่านคงไม่ปลอดภัยเท่าไรนัก เพราะสัตว์อื่นก็ย่อมมีเขี้ยวเล็บเหมือนกันที่จะทำร้ายท่านตอบแทน โดยเฉพาะสัตว์จำพวกมนุษย์ ย่อมมีอาวุธร้ายแรง ฟันแทง ทุบตีท่านจนตาย ไม่ไว้ชีวิตท่านแน่ ส่วนวิธีการต่อสู้เอาตัวรอดของเราดีกว่า ไม่ได้ทำร้ายใคร จึงไม่มีภัย ไม่มีใครเกลียดกลัวเรา แม้แต่มนุษย์ผู้มีอาวุธร้ายแรง เห็นเราแล้วก็ไม่เคยทำอันตรายเราเลย"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า สัตว์ทั้งหลายย่อมเกิดมามีร่างกายอันเหมาะสมที่จะมีชีวิตอยู่ตามอัตภาพของตน และมีวิธีต่อสู้เอาตัวรอดของตนแตกต่างกันออกไป ตามที่พระพรหมได้สร้างมาแล้ว แต่การต่อสู้เอาชีวิตรอดที่ดีที่สุดนั้นคือ การไม่ต้องทำร้ายชีวิตและร่างกาย ของสัตว์อื่น จึงไม่มีเวรมีภัยที่จะต้องระวังตัวกลัวอะไรเลย
๐๐๐๐๐๐๐๐
๔๕. ค่าของนกขุนทอง
ชายคนหนึ่งมีอาชีพดักนกขุนทองมาสอนให้พูดแล้วขายได้ราคาแพง เพราะเขามีความคิดแปลกๆ แหวกแนวในการสอนให้นกขุนทองพูดให้เหมาะเจาะอยู่เสมอ
คราวหนึ่งเขาจับนกขุนทองมาได้ตัวหนึ่ง เขาก็สอนให้มันพูดว่า
"ค่าของคนอยู่ที่ผลบุญ ค่าของเจ้าคุณอยู่ที่นกขุนทอง"
จนกระทั่งนกขุนทองพูดคำนี้ได้ชัดเจนคล่องแคล่ว ฟังเสียงโดยไม่เห็นนกขุนทองจะนึกว่าเสียงคนพูด
คร้ันแล้วเขาก็นำนกขุนทองตัวนั้นไปให้เจ้าคุณองค์หนึ่ง ซึ่งเขาทราบว่าชอบเลี้ยงนกขุนทองและมักจะซื้อด้วยราคาแพงลิ่ว เพราะตัวท่านชื่อ ขุนทอง และท่านก็มีทรัพย์มาก ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไรด้วยเพราะท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์
เมื่อไปถึงกุฎิท่านเจ้าคุณองค์นั้น เขาก็เปิดผ้าคลุมกรงนกออก ดีดมือให้นกขุนทองพูด
"ค่าของคนอยู่ที่ผลบุญ"
"ค่าของเจ้าคุณอยู่ที่นกขุนทอง"
มันพูดซ้ำๆ อยู่เช่นนี้หลายคำ เจ้าคุณขุนทองฟังแล้วก็ชอบใจยิ่งนัก ออกปากถามว่า จะเอาราคาเท่าไรก็จะซื้อไว้ฟังมันพูดเล่นเป็นคติดีนัก
"กระผมไม่คิดราคาแก่เจ้าคุณสูงนักหรอก มีคนขอซื้อแล้ว ๑๐๐,๐๐๐ บาท ผมยังรักของผมอยู่ ถ้าเจ้าคุณจะกรุณาให้กระผมสักแสนหนึ่ง กระผมก็จะขอถวาย ต่ำกว่านี้ก็ถวายไม่ได้ กระผมเสียดายกระผมรักมันมาก"
เจ้าคุณขุนทองต้องรักษาถ้อยคำยอมจ่ายเงินให้ชายคนน้ันไป ๑ แสนบาทเพื่อจะฟังมันพูด ๒ ประโยค
"ค่าของคนอยู่ที่ผลบุญ"
"ค่าของเจ้าคุณอยู่ที่นกขุนทอง"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ค่าของคนอยู่ที่ปัญญาและวาจา ค่าของนกกาอยู่ที่ถ้อยคำน้ำเสียงเหมือนกัน
๐๐๐๐๐๐๐๐
๔๖. งูหลักหัก
งูเห่าดอกจันทร์ตัวหนึ่ง มันอาศัยอยู่ในพงหญ้าริมทุ่งแห่งหนึ่ง มีหญิงชาวนาคนหนึ่งเป็นเจ้าของนาแปลงน้ัน เมื่อเข้าฤดูฝน หญิงชาวนาก็ไปทำนาแปลงนั้น ครั้นแลเห็นงูเห่าตัวนั้นก็เกิดความกลัวและเมื่อกลัวแล้วก็เกลียด จึงคว้าไม้ไผ่ข้างๆมือมาตีงูเห่าดอกจันทร์ตัวนั้น มันก็เลื้อยหนีตกน้ำไปมองหาไม่เห็น ตกเย็นหญิงชาวนาก็เดินทางกลับบ้าน ห่างไกลจากทุ่งนาประมาณ ๑๐๐ เส้น ครั้นตกกลางคืนก็เข้านอน
ฝ่ายงูเห่าดอกจันทร์ตัวนั้น ถูกตีหลังหักด้วยความเจ็บปวดทรมาน จะเลื้อยก็ลำบากมากนัก เพราะเลื้อยได้ครึ่งลำตัว ท่อนหางตายต้องลากไป จึงมีความโกรธแค้นคิดผูกพยาบาทหญิงน้ันอยู่ในหัวใจของมันตลอดเวลา ด้วยแรงโกรธแค้นพยาบาท คืนน้ันท้ังคืนมันก็อุตส่าห์เลื้อยลากท่อนหางของมันไปดมกลิ่นตามทางหญ้าน้ันไปจนถึงบ้าน คร้ันแล้วมันก็อุตส่าห์เลื้่อยตะกายบันไดเรือนขึ้นไปจนถึงที่นอนเห็นหญิงคนน้ันนอนหลับอยู่ มันก็เข้ากัดเอาที่ข้อมือที่ตีมันด้วยไม้ หญิงน้ันตกใจตื่นก็เห็นงูเห่าดอกจันทร์มานอนอยู่ข้างๆจึงตีงูเห่าจนตาย
แต่ก่อนจะสิ้นใจตาย งูเห่าดอกจันทร์ตัวพยาบาทน้ันมันก็พูดว่า "เจ้าจะฆ่าเราต้องฆ่าให้เราตายเสียเถิด เราไม่ว่าอะไร จะได้ตายไปให้พ้นความทรกรรมลำบาก แต่ทุกตีเราให้หลังหักนี้มันทรมานเรามากนัก เราจึงติดตามมาให้ฆ่าเราให้ตายเสียเถิด"
แต่งูเห่าดอกจันทร์ หาได้เห็นไม่ว่าหญิงชาวนาคนน้ันก็นอนตายตัวแข็งอยู่ เมื่อรุ่งเช้าเพราะพิษอันร้ายแรงของงูเห่าดอกจันทร์ตัวนั้น
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จะฆ่าก็ฆ่าให้ตาย จะขายก็ขายให้ขาด อย่าทำอะไรครึ่งๆกลางๆ ทิ้งไว้กลางคันเป็นอันขาด
๐๐๐๐๐๐๐๐
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น