๔๑. ไม้ไผ่ที่กลายเป็นด้ามมีด
กอไผ่กองหนึ่งในป่า เมื่อถึงฤดูฝนก็แตกหน่อแทงดินขึ้นมา เติบโตเป็นลำไม่ไผ่ร่วมกอกับพ่อแม่ของมันกลายเป็นกอไผ่ที่ใหญ่ขึ้น ไม้ไผ่พ่อแม่ เมื่อถูกลมโยกพัดไปพัดมา เสียดสีลำกันก็เกิดเป็นเสียงออดแอดเป็นคำพูดสอนลูกของมันที่เติบโตเป็นลำใหม่ว่า
"ลูกเอ๋ย ไม้ไผ่อย่างครอบครัวเรานี้ จะต้ังอยู่ได้เพราะไม้ร่วมกอเกาะกลุ่มกอกันให้เหนียวแน่น เมื่อลมพายุพัดมาเราก็ตั้งมั่นอยู่ได้ ไม่โค่นล้ม"
แม่มันสอนต่อไปว่า
"จะตั้งลำแข็งที่อยู่เป็นไม้ไผ่ตายแล้วไม่ได้ จะถูกลมพายุพัดหัก จะต้องรู้จักอ่อนโยนโยนตัวไปตามกระแสลมพัด จึงจะต้ังมั่นอยู่ได้"ฃ
พ่อของมันสอนอีกว่า
"เมื่อถูกลมพายุพัดบ่อยๆ ลำต้นของไม้ไผ่ก็ได้ออกพละกำลังด้วยกายและโยกโยนตัวทำให้ลำไม้ไผ่แข็งแรงขึ้น ลมพายุที่พัดเราจึงมีคุณประโยชน์แก่กอไผ่ของเราทางอ้อม ถ้าไม่ถูกลมพัดพัดเลย ลำไผ่ของเราก็จะไม่แข็งแรง...."
"ลมพายุพัดมาไม่น่ากลัวอะไร ถ้าเรารู้จักอ่อนโอนโยกโยนลำตัวตาม" แม่ของมันพูด
"เรากลัวอยู่อย่างเดียวคือลำต้นไม้ไผ่ที่คนตัดเอาไปแล้วจากกอของไม้ไผ่" พ่อต้นไผ่ลำแก่พูด
"กลัวทำไมเล่าเมื่อเขาตัดกอเราไปแล้ว?"
"เพราะเมื่อลูกกอของไม้ไผ่ถูกตัดแล้ว เราก็ต้องเจ็บปวดหนหนึ่งแล้วเราจะต้องเจ็บปวดหนที่สองอีก เมื่อไม้ไผ่ลำนั้นไปเป็นด้ามมีด ด้ามพร้าให้คนจับเอามาตัดลำไม้ไผ่ของเราอีก เราไม่กลัวมีด กลัวพร้าเลย ถ้าหากไม่มีลำไม้ไผ่เป็นด้ามให้เขาถือเอามาฟันลำไผ่ด้วยกันเอง"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ศัตรูภายนอกสำคัญน้อยกว่าศัตรูภายใน ที่พวกเดียวกันเองทำลายกันนั้น เกิดความวิบัติร้ายแรงกว่ามากนัก
๔๒. ช้างบ้านล่อช้างป่า"ลมพายุพัดมาไม่น่ากลัวอะไร ถ้าเรารู้จักอ่อนโอนโยกโยนลำตัวตาม" แม่ของมันพูด
"เรากลัวอยู่อย่างเดียวคือลำต้นไม้ไผ่ที่คนตัดเอาไปแล้วจากกอของไม้ไผ่" พ่อต้นไผ่ลำแก่พูด
"กลัวทำไมเล่าเมื่อเขาตัดกอเราไปแล้ว?"
"เพราะเมื่อลูกกอของไม้ไผ่ถูกตัดแล้ว เราก็ต้องเจ็บปวดหนหนึ่งแล้วเราจะต้องเจ็บปวดหนที่สองอีก เมื่อไม้ไผ่ลำนั้นไปเป็นด้ามมีด ด้ามพร้าให้คนจับเอามาตัดลำไม้ไผ่ของเราอีก เราไม่กลัวมีด กลัวพร้าเลย ถ้าหากไม่มีลำไม้ไผ่เป็นด้ามให้เขาถือเอามาฟันลำไผ่ด้วยกันเอง"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ศัตรูภายนอกสำคัญน้อยกว่าศัตรูภายใน ที่พวกเดียวกันเองทำลายกันนั้น เกิดความวิบัติร้ายแรงกว่ามากนัก
๐๐๐๐๐๐๐๐
ครั้งหนึ่งโบราณกาลมาแล้ว ยังมีพระราชาองค์หนึ่งโปรดเสด็จออกไปโพนช้างป่าอยู่เนืองนิตย์ คือออกป่าเพื่อล้อมจับช้างป่าเป็นกีฬาที่ทรงโปรดเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นการผจญภัยที่ตื่นเต้นอย่างหนึ่ง และบางทีก็โชคดีได้ช้างเผือกมาประดับบารมีให้เป็นที่เลื่องลือชาปรากฎไปในต่างแดน เป็นการข่มขวัญอริราชศัตรูไปในตัวด้วย
คราวหนึ่งเสด็จไปโพนช้างป่าในป่าใหญ่แห่งหนึ่ง มีโขลงช้างใหญ่อาศัยอยู่ในป่าแห่งนั้นนับร้อยเชือก จึงโปรดให้ยกกองทัพช้างออกไปล้อมช้างป่าโดยวิธีเอาช้างป่าที่ฝึกฝนจนเชื่องดีเป็นช้างบ้านแล้วน้ันออกไปล้อมช้างป่าให้รวมตัวกันเข้ามา ใช้ช้างบ้านขนาบฝูงช้างป่า ใช้ช้างบ้านนำหน้าให้ช้างป่าหลงทางเข้าพะเนียดจับช้างที่สร้างไว้ด้วยเสาไม้อันแข็งแรง จนช้างป่าตกเข้าไปถูกขังอยู่ในพะเนียด แล้วใช้ช้างบ้านออกไปตีวงช้างป่าในพะเนียด เอาเชือกบ่วงบาศก์คล้องช้างตัวดี ตัวงามๆไว้ตามต้องการ ที่เหลือนอกนั้นก็ปล่อยให้เข้าป่าไปตามเดิม
ช้างที่ถูกคล้องจับได้โดยมากมักจะเป็นช้างพลายลักษณะงามๆ เป็นจ่าโขลง เมื่อโขลงช้างจะลาจากไปเข้าป่า จึงร้องสั่งว่า
"เจ้าจงไปอยู่ในป่าให้จงดี รู้รักษาตัวให้ดีเถิด เราเสียทีพลาดท่าเขาแล้ว เพราะช้างด้วยกันเป็นช้างล่อให้เราหลงเข้ามาติดอยู่ในพะเเนียดนี้ ลำพังมนุษย์ตัวน้อยๆ ไม่มีทางจะจับตัวเราได้เลย เราต้องถูกจับคร้ังนี้ เพราะช้างด้วยกันแท้ๆ"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ช้างป่าย่อมถูกจับคล้องด้วยบ่วงบาศก์ฺ เพราะคนขี่ช้างบ้านเป็นพาหนะออกจับช้างป่าอันใด คนเรานี้ย่อมตกไปเป็นเครื่องมือของฝ่ายศัตรู เอามาทำลายพวกเดียวกันได้เสมอมาตลอดทุกยุคทุกสมัย คนที่รู้จักจับเอาคนฝ่ายศัตรูมาเป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายศัตรูได้ จึงเป็นคนที่ฉลาดกว่า คนที่ตกเป็นเครื่องมือของศัตรู คือคนโง่เขลาโดยแท้
ช้างที่ถูกคล้องจับได้โดยมากมักจะเป็นช้างพลายลักษณะงามๆ เป็นจ่าโขลง เมื่อโขลงช้างจะลาจากไปเข้าป่า จึงร้องสั่งว่า
"เจ้าจงไปอยู่ในป่าให้จงดี รู้รักษาตัวให้ดีเถิด เราเสียทีพลาดท่าเขาแล้ว เพราะช้างด้วยกันเป็นช้างล่อให้เราหลงเข้ามาติดอยู่ในพะเเนียดนี้ ลำพังมนุษย์ตัวน้อยๆ ไม่มีทางจะจับตัวเราได้เลย เราต้องถูกจับคร้ังนี้ เพราะช้างด้วยกันแท้ๆ"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ช้างป่าย่อมถูกจับคล้องด้วยบ่วงบาศก์ฺ เพราะคนขี่ช้างบ้านเป็นพาหนะออกจับช้างป่าอันใด คนเรานี้ย่อมตกไปเป็นเครื่องมือของฝ่ายศัตรู เอามาทำลายพวกเดียวกันได้เสมอมาตลอดทุกยุคทุกสมัย คนที่รู้จักจับเอาคนฝ่ายศัตรูมาเป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายศัตรูได้ จึงเป็นคนที่ฉลาดกว่า คนที่ตกเป็นเครื่องมือของศัตรู คือคนโง่เขลาโดยแท้
๐๐๐๐๐๐๐๐
๔๓. ไก่ดำกับไก่แดง
ไก่ดำกับไก่แดงเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน มันเกิดจากแม่ไก่ตัวเดียวกัน แม่ไก่ก็เลี้ยงกกปกปักษ์มันมาจนโต หากินเองได้แล้ว จึงแยกแม่มันไป มันเป็นไก่พันธุ์ไก่ชน พ่อของมันก็เป็นไก่ชนมีชื่อ มันทั้งสองจึงถูกขายถูกซื้อไปอยู่กับเจ้าของคนใหม่ ไก่ดำไปอยู่กับนักเลงไก่ตำบลหนึ่ง ไก่แดงไปอยู่กับนักเลงไก่อีกตำบลหนึ่ง เพราะมันเป็นไก่ตัวน้อย มีสมองน้อยๆ มันจึงลืมหมดแล้วว่าแม่ของมันอยู่ที่ไหน พี่น้องท้องเดียวกันของมันตกไปอยู่แห่งหนตำบลใด แต่มันทั้งสองไปอยู่กับเจ้าของใหม่ ได้รับการเลี้ยงดูให้ข้าวให้น้ำ อาบน้ำทายา ทาน้ำมันเป็นอย่างดี มันเป็นไก่หนุ่มที่กำลัง มีปีกอันแข็งแรง มีเดือยที่แข็งอันแหลมคม และมีขาอันแข็งแรง มันเคยได้ตีไก่ชนกับไก่อื่นอยู่เสมอ และได้รับชัยชนะมาแล้ว จนเจ้าของรักใคร่ทนุถนอมมาก เพราะเจ้าของได้เงินพนันจากการชนไก่ชนะมาแล้ว
อยู่มาวันหนึ่ง เจ้าไก่ดำกับเจ้าไก่แดงนี้ ก็เดินทางโดยเจ้าของอุ้มมาสู่สังเวียนชนไก่แห่งหนี่ง เมื่อได้เปรียบคู่กันแล้ว ก็กลายเป็นคู่เอกของสังเวียนนี้วันนั้น มีคนถือหางเล่นพนันขันต่อกันหัวละเป็นเงินจำนวนสูงมาก
เมื่อได้เวลาชน มันจึงได้กลับมาพบหน้ากันเป็นครั้งแรกในสังเวียนชนไก่วันนั้น ค่าที่มันเป็นไก่ชนนักสู้ ไม่เคยถอย มันจึงจดจ้องเข้าหากัน แล้วลงตีนลงปีกตีกันอย่างเอาเป็นเอาตาย สายตาก็จ้องตากัน ปากต่อปากจดกัน ปีกต่อปีกผลัดกันตี ผลัดกันเตะหน้าปักคอด้วยเดือยอันแหลมคม ยกแล้วยกเล่า มันเฝ้าแต่ตีกันอย่างไม่ราปีก ไม่ยอมถอยจนเหนื่อยอ่อนแทบขาดใจ หน้าตาและลำคอถูกเดือยอันแหลมคมแทงจนเจ็บปวดชาไปหมด แต่ใจของมันก็สู้ไม่ยอมถอย มันชนกันสู้กัน ตีกัน แทงกันอยู่อย่างพัลวัน คนดูก็ส่งเสียงเชียร์อยู่รอบสังเวียน
ในที่สุดเจ้าไก่แดงพลาดท่าถูกเดือยไก่ดำแทงเอา มันตาบอดไปข้างหนึ่งเหลือตาข้างเดียว มันก็สู้ต่อไปจนหมดแรงล้มลงนอนหายใจรินๆรวยๆอยู่
ทันใดน้ันเจ้าของไก่แดงเกิดความโมโหมืดหน้าเพราะต้องเสียพนันเป็นจำนวนมาก จึงตรงเข้าจับคอไก่แดงหมายใจจะฟาดหัวกับพื้นให้ตายเสียเลย
ไก่แดงเมื่อจวนสิ้นใจตาย มันก็ร้องว่า
"จะฆ่าเราด้วยเหตุอันใดเล่า เราก็สู้จนสุดชีวิตแล้ว เราไม่รู้เลยว่าจะสู้กันไปทำไมด้วย"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า บางทีคนเราก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าจะเป็นศัตรูคู่อาฆาต คู่ล้างผลาญชีวิตคนอื่นเพื่อประโยชน์อันใดกันแน่ เพราะอันที่จริงคนเราเกิดมาเป็นพี่น้องร่วมชีวิตกันแท้ๆ ที่เกิดมาจากพระแม่ธรณีองค์เดียวกัน
อยู่มาวันหนึ่ง เจ้าไก่ดำกับเจ้าไก่แดงนี้ ก็เดินทางโดยเจ้าของอุ้มมาสู่สังเวียนชนไก่แห่งหนี่ง เมื่อได้เปรียบคู่กันแล้ว ก็กลายเป็นคู่เอกของสังเวียนนี้วันนั้น มีคนถือหางเล่นพนันขันต่อกันหัวละเป็นเงินจำนวนสูงมาก
เมื่อได้เวลาชน มันจึงได้กลับมาพบหน้ากันเป็นครั้งแรกในสังเวียนชนไก่วันนั้น ค่าที่มันเป็นไก่ชนนักสู้ ไม่เคยถอย มันจึงจดจ้องเข้าหากัน แล้วลงตีนลงปีกตีกันอย่างเอาเป็นเอาตาย สายตาก็จ้องตากัน ปากต่อปากจดกัน ปีกต่อปีกผลัดกันตี ผลัดกันเตะหน้าปักคอด้วยเดือยอันแหลมคม ยกแล้วยกเล่า มันเฝ้าแต่ตีกันอย่างไม่ราปีก ไม่ยอมถอยจนเหนื่อยอ่อนแทบขาดใจ หน้าตาและลำคอถูกเดือยอันแหลมคมแทงจนเจ็บปวดชาไปหมด แต่ใจของมันก็สู้ไม่ยอมถอย มันชนกันสู้กัน ตีกัน แทงกันอยู่อย่างพัลวัน คนดูก็ส่งเสียงเชียร์อยู่รอบสังเวียน
ในที่สุดเจ้าไก่แดงพลาดท่าถูกเดือยไก่ดำแทงเอา มันตาบอดไปข้างหนึ่งเหลือตาข้างเดียว มันก็สู้ต่อไปจนหมดแรงล้มลงนอนหายใจรินๆรวยๆอยู่
ทันใดน้ันเจ้าของไก่แดงเกิดความโมโหมืดหน้าเพราะต้องเสียพนันเป็นจำนวนมาก จึงตรงเข้าจับคอไก่แดงหมายใจจะฟาดหัวกับพื้นให้ตายเสียเลย
ไก่แดงเมื่อจวนสิ้นใจตาย มันก็ร้องว่า
"จะฆ่าเราด้วยเหตุอันใดเล่า เราก็สู้จนสุดชีวิตแล้ว เราไม่รู้เลยว่าจะสู้กันไปทำไมด้วย"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า บางทีคนเราก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าจะเป็นศัตรูคู่อาฆาต คู่ล้างผลาญชีวิตคนอื่นเพื่อประโยชน์อันใดกันแน่ เพราะอันที่จริงคนเราเกิดมาเป็นพี่น้องร่วมชีวิตกันแท้ๆ ที่เกิดมาจากพระแม่ธรณีองค์เดียวกัน
๐๐๐๐๐๐๐๐
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น