วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

นิทานธรรมดาโลก (๒)



๔. หมาเหมือนเจ้าของ 

        มีแม่สุนัขตัวหนึ่ง  มันออกลูกมาแล้วหลายครอก  เมื่อลุูกมันโตขึ้นก็มีคนเอาไปเลี้ยงไว้ตามหมู่บ้านในตำบลนั้น  ลูกของมันก็ไปอยู่บ้านคนทั่วไป  ที่ไปอยู่วัดก็มี  มันยังเหลือลูกอยู่อีกตัวหนึ่งกำลังรุ่นสาว  มันจึงอยากสอนลูกของมันให้รู้ดีและชั่ว  มันจึงพาลูกของมันเที่ยวเดินตระเวนไปตามหมู่บ้านต่างๆ จนทั่ว  เมื่อมันไปถึงบ้านไหน  มันก็ได้พบลูกของมันที่เขาเอาไปเลี้ยงเติบโตเป็นหนุ่มใหญ่  แต่หารู้จักและจำแม่ของมันได้ไม่
     ตัวแรก  อยู่กับชายขอทาน  มันเห็นหมาสองตัวเดินมา มันก็วิ่งเข้ามาหากระดิกหางรัวทีเดียว แล้วก็เข้าเลียหน้าเลียหลัง
     ตัวที่สอง  อยู่กับชายนักย่องเบา  เมื่อมันเห็นหมาสองตัวเดินมา  มันก็หมอบนิ่ง  พอเดินคล้อยหลังมันก็วิ่งเข้ามาจะลักกัดลับหลัง  แต่แม่มันรู้ทันจึงหันมาดู  มันเห็นว่าแม่หมารู้ตัว  มันจึงไม่กัด
     ตัวที่สาม อยู่กับชายใจร้ายคนหนึ่ง  ซึ่งคอยทุบตีรังแกหมาอยู่เสมอ จนมันมีความหวาดกลัวทุกสิ่งทุกอย่าง  เมื่อได้ยินเสียงหมาสองแม่ลูกเดินมามันก็เห่าเสียงดังลั่น  แต่ไม่กล้าวิ่งเข้ามากัด
     ตัวที่สี่  อยู่กับเศรษฐีคนหนึ่ง  เขาล่ามโซ๋ไว้ที่บันไดบ้าน  มันถูกล่ามอยู่ตลอดเวลา  มันจึงหงุดหงิดมาก  ทำให้เป็นหมาดุ  พอเห็นหมาแม่ลูกเดินมา  มันก็เห่าเสียงดัง ดิ้นรนจะวิ่งเข้ามากัดให้จงได้
     ตัวที่ห้า  เป็นหมาวัด  เมื่อสองแม่ลูกหมา เดินเข้าไป มันก็นอนหมอบหลับตาอยู่  ไม่สนใจใครทั้งสิ้น  
       แล้วแม่หมาก็พาลูกกลับ  แม่หมาจึงบอกลูกว่า  หมาทั้งห้าตัวนั้นเป็นลูกของมันทั้งสิ้น  เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน  แต่ลูกของมันก็มีนิสัยแตกต่างกัน เพราะหมานั้นเมื่ออยู่กับใคร มันก็มีนิสัยเหมือนคนนั้น 
     ตัวแรกอยู่กับคนขอทาน  ก็กลายเป็นหมาหัวประจบ
    ตัวที่สองอยู่กับนักย่องเบา ก็ชอบทำร้ายคนลับหลัง  มันก็กลายเป็นหมาลอบกัด
     ตัวที่สามอยู่กับชายใจร้าย มันถูกรังแกบ่อย  จนประสาทเสียมีความหวาดกลัว มันจึงเป็นหมาเห่าใบตองแห้ง
     ตัวที่สี่อยู่กับเศรษฐีใจร้าย  เลี้ยงหมาไว้เฝ้าทรัพย์ มันก็กลายเป็นหมาดุ
     ตัวที่ห้าอยู่กับพระมีศีลธรรม  มันก็กลายเป็นหมาใจบุญ
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  เจ้าของเป็นคนอย่างไร  หมาก็มีนิสัยเช่นน้ัน  คนอยู่กับคนเช่นไร  ก็เป็นคนเช่นน้ัน  ถ้าอยากรู้จักตัวเรา ก็จงดูเพื่อนของเรา 


๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐


๕. ต้นไทรกับต้นสัก



     ต้นสักต้นหนึ่งซึ่งขึ้นเคียงกับต้นไทรอยู่ในป่าริมลำธารแห่งหนึ่ง  เป็นเวลาเกือบร้อยปี  ต่อมาต้นสักก็มีลำต้นใหญ่และสูงลิ่ว  แต่ต้นไทรนั้นยังเตี้ยเป็นพุ่มอยู่มีแต่กิ่งก้านสาขาแผ่ออกไปโดยรอบลำต้นไม่ใหญ่และสูงเหมือนต้นสัก   ต้นสักจึงหัวเราะเยาะต้นไทรว่าเป็นต้นไม้ไม่แข็งแรงและต่ำเตี้ย  แต่ต้นไทรก็นิ่งเงียบอยู่  มิได้โต้ตอบประการใด  คงนึกแต่ในใจว่า ต้นสักถึงจะมีลำต้นใหญ่โตและสูงก็ใหญ่และสูงเฉพาะตัว  มิได้เป็นที่พึ่งแก่ผู้ใด  แม้แต่นกกาสิงสาราสัตว์ก็มิได้อาศัย  เพราะกิ่งก้านสาขาก็ไม่มี  ใบก็ไม่ร่มชิดน่าอยุ่อาศัยของสัตว์สองเท้าและสี่เท้้าทั้งหลาย  ทั้งดอกและผลก็ไม่ชอบใจของนกกาแต่อย่างใดเลย 
     อยู่ต่อมาก็มีคนไปโค่นต้นสักนั้น  ชักลากล่องลำน้ำเข้าไปในเมือง  เอาไปนอนขอนไว้ที่โคนต้นโพธิในวัดแห่งหนึ่ง  เตรียมการจะเลื่อยเป็นกระดานทำศาลาวัดต่อไป
     เมื่อขอนสักนอนรอความตายอยู่ที่โคนต้นโพธินั้น  นึกถึงตัวเปรียบเทียบกับต้นโพธินี้ กับต้นไทรเพื่อนกันในป่าแล้วก็ร้องไห้คร่ำครวญอยู่กลางคืนดึกสงัดเสียงน้ันก็ดังจนต้นโพธิได้ยิน  ต้นโพธิจึงร้องถามว่า "ท่านร้องไห้เพราะเหตุใด"  ต้นสักก็เ่ล่าความในใจให้ฟังพลางร้องไห้พลาง 
    ต้นโพธิเป็นต้นไม้พระโพธิสัตว์  เกิดมาเป็นที่พึ่งแก่ผู้อื่น  เพราะมีกิ่งก้านสาขาร่มรื่นชื่นเย็น  เป็นที่พึ่งพาอาศัยแก่สัตว์อื่น   จึงพูดแก่ต้นสักว่า "ท่านน้ันเป็นต้นไม้ที่สูงใหญ่แข็งแรงยิ่งกว่าไม้ทั้งหลาย  แม้แต่ต้นไทรและต้นโพธิอย่างเราก็สูงใหญ่แข็งแรงสู้ท่านมิได้เลย  แต่ท่านก็เป็นประโยชน์แต่เฉพาะตัวท่าน  เมื่อท่านมีชีวิตยืนต้นอยู่ท่านมิได้เป็นประโยชน์แก่สัตว์อื่นที่เกิดมาร่วมโลกเลย  สัตว์ใดก็พี่งพาอาศัยท่านมิได้  ท่านมิได้แตกกิ่งก้านสาขายื่นออกไปปกป้องคุ้มครองให้ความร่มเย็นเป็นสุขแก่สัตว์อื่นเลย  เขาจึงโค่นเอาต้นของท่านมาทำประโยชน์เมื่อตายแล้วดังนี้  ส่วนต้นโพธิอย่างเราเมื่อเป็นต้นยืนอยู่ก็แตกกิ่งก้านสาขาออกไปปกคลุมให้ความร่มเย็นแก่สัตว์อื่นอยู่ตลอดเวลา  ยืนอยู่ก็แตกกิ่งก้านสาขาออกไปปกคลุมให้ความร่มเย็นแก่สัตว์อื่นอยู่ตลอดเวลา   เราเกิดมาเป็นประโยชน์แก่สัตว์อื่น  เราจึงมิถูกโค่นลงเอาลำต้นทำกระดาษเช่นท่าน"
      ต้นสักเมื่อได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งร้องไห้คร่ำครวญหนักขึ้น  เพราะเสียใจในความตระหนี่เหนียวแน่นของตนเมื่อยังมีชีวิตอยู่  ต้นโพธิจึงปลอบว่า
     "ท่านอย่าร้องไห้คร่ำครวญไปเลย  บุคคลที่ตระหนี่เหนียวแน่น มิได้มีแต่ท่านซึ่งเป็นต้นไม้เท่านั้น  แม้แต่มนุษย์ผู้มีปัญญาและอำนาจก็ยังตระหนี่เหนียวแน่นอยู่อีกเป็นอันมาก  เมื่อเขาเป็นคนอยู่นั้่น ก็มีแต่จะดูดเอาสมบัติไปสะสมไว้แต่ส่วนเดียว  มิได้เผื่อแบ่งปันเป็นที่พึ่งพาอาศัยเกื้อกูลแก่ผู้ที่เกิดมาร่วมโลกเลย  เมื่อเขาตายลงเพราะพญามัจจุราชคร่าเอาชีวิตไป  เขาก็ย่อมร้องไห้คร่ำครวญเช่นเดียวกับท่านนี้แหละ"
     ต้นสักได้ฟังก็ค่อยได้สติ  กลั้นสะอื้นเงียบเสียงลงเมื่อใกล้้สว่าง  รุ่งเช้าคนก็มาเลื่อยออกทำกระดานต่อไป
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า   เศรษฐีขี้ตระหนี่นั้น  มักจะร้องไห้คร่ำครวญเมื่อจวนตาย เพราะเหตุที่มิได้บริจาคทรัพย์ช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลกที่อดอยากเลย  ตัวเองก็เอาทรัพย์น้ันติดตัวไปมิได้เลยแม้แต่เท่าขนแมว 

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐


๖.เงินบาทกับแบ๊งค์บาท
     
     ครั้นหนึ่งเหรียญบาทในสมัยรัชกาลที่ ๕ กับธนบัตรใบละบาทสมัยรัชกาลที่ ๖ มาพบกันเข้า  จึงได้สนทนากันตามประสาเงินบาทด้วยกัน
     แบ๊งค์บาทกล่าวว่า "สมัยนี้เป็นสมัยต้องคล่องแคล่วว่องไว กระฉับกระเฉงทันสมัย  จึงเหมาะแก่แบ๊งค์บาทจะได้อยู่ในโลกต่อไป  เพราะเบาไปไหนคล่องแคล่ว ชาวโลกก็นิยม"  
     เหรียญบาทตอบว่า "ที่พูดมาก็จริงอยู่หรอก  แต่แบ๊งค์บาทก็จะมีอายุสั้น  สมบุกสมบันไม่ได้นาน  ก็จะทำลายไป แต่เหรียญบาทจะมีอายุยืนนานกว่าหลายเท่านัก"
     แบ๊งค์บาทตอบว่า  "สมัยของเหรียญบาทนั้นหมดแล้ว  ถึงจะมีชีวิตอยู่ก็จะถูกเก็บอยู่ในพิพิธภัณฑ์ ก้นถุง หรือคนเอาไว้ดูเป็นที่ระลึก  เขาจะไม่เอาออกรับใช้สังคมต่อไป"
     เหรียญบาทตอบว่า "การเช่นน้ันก็จะเป็นอยู่เพียงชั่วคราว  เพราะยุคสมัยหนึ่งเท่าน้ัน แล้วความนิยมของโลกก็จะหมุนกลับมานิยมเหรียญบาทอีก ถึงเหรียญบาทรุ่นเก่ารุ่นเรานี้จะค่อยหมดไป แต่ก็มีเหรียญบาทรุ่นใหม่เกิดมาแทน  แบ๊งค์บาทอย่างเจ้าซึ่งมีชื่อเสียงอย่างไพเราะว่าธนบัตรนั้นก็จะหมดความนิยม  แต่การหมดสมัยของแบ๊งค์บาทอย่างเจ้าน้ันน่าสมเพชนัก"
     แบ๊งค์บาทถามว่า "นาสมเพชอย่างไร"
    เหรียญบาทตอบว่า "แบ๊งค์บาทอย่างพวกเจ้าน้ัน  เมื่อถูกใช้มากๆเข้าก็จะสกปรกชอกช้ำและขาดวิ่นพิกลพิการไป  จนไม่สามารถเก็บไว้ดูเล่นเป็นที่ระลึกได้  เขาจึงเผาพวกเจ้าทิ้งทั้งหมด"
     แบ๊งค์บาทถามว่า  "เหตุไฉนท่านจึงทราบ"
     เหรียญบาทตอบว่า "เพราะเราเกิดมานาน จึงทำให้คาดการณ์ล่วงหน้าได้ถูกต้องนั้นอย่างหนึ่ง  เพราะเหตุเราเป็นธาตุที่อาจรับกระแสเหตุการณ์นั้นได้ง่ายอย่างหนึ่ง  อย่างไรก็ตามที่เราว่ามานี้ไม่ผิดหรอก  เจ้าคอยดูต่อไปเถิดแล้วจะได้เห็นเอง"
     แบ๊งค์บาทนิ่งตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งจึงถามว่า  "ไหนๆท่านก็มีวัยวุฒิสูงกว่าเรา ๑ เพราะท่านเกิดก่อน  มีชาติวุฒิสูงกว่าเรา ๑ เพราะเป็นธาตุที่แข็งแกร่งถาวรกว่า  และมีคุณวุฒิสูงกว่าเรา ๆ เพราะเป็นเงินมีค่าสูงกว่าเราซึ่งเป็นกระดาษ  เราจึงอยากจะขอคำแนะนำจากท่านในการดำเนินชีวิตต่อไป
     เหรียญบาทตอบว่า "ขอบใจที่ยกย่องและขอคำแนะนำจากเรา   แสดงว่าท่านเป็นคนดีอยู่ที่รู้จักประมาณตนและประมาณท่าน  แต่เราเสียใจที่จักกล่าวว่า  พวกเราที่ชื่อว่าเป็นผู้รับใช้ท่านนั้น  เราไม่อาจจะกำหนดโชคชะตาเราเองได้  โชคชะตาของเรานั้นอยู่ในกำมือของผู้ใช้เราเป็นส่วนใหญ่ เราจะต้องไปอยู่กับคนทุกชาติ ชั้น วรรณะ ทั้งยาจกและเศรษฐี  ทั้งคนดีและคนชั่ว แต่ข้อน้ันก็ไม่ต้องวิตกอันใด  เพราะุถึงเราจะไปอยู่กับผู้ใดเราก็จะมีค่าคงเดิม  ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามศักดิ์ของผู้นั้น  เรากำหนดโชคชะตาของตัวเราได้แน่นอนอย่างหนึ่งก็ฺคือ ค่าของเรา เราจะไม่ตกต่ำเลวทรามไปเมื่ออยู่กับคนชั่ว เช่นผู้ร้าย   เราจักไม่หยิ่งผยองมีค่าขึ้นเมื่ออยู่กับคนสูงศักดิ์   เช่น เศรษฐี หรือพระราชา  อันนี้แหละที่เป็นความภาคภูมิใจของเราโดยแท้จริง ที่ค่าของเราไม่เปลี่ยนแปลงไป  แต่การที่เราจะต้องไปอยู่กับใครที่ไหนน้ัน  เรากำหนดไม่ได้ เราเลือกที่อยู่  เลือกที่ไปไม่ได้ 
     แบ๊งค์บาทได้ฟังก็น้อมศรีษะคำนับเหรียญบาท  แล้วกล่าวว่า "ข้าพเจ้าชอบใจในถ้อยคำของท่านนักหนา ข้าพเจ้าไม่เสียใจเลยที่เกิดมาเลือกที่อยู่ทีไปไม่ได้  นับเป็นโชคชะตาได้กึ่งหนึ่ง  คือเราจักไม่เปลี่ยนเป็น ๑ สลึง เมื่ออยู่กับยาจก และเปลี่ยนเป็น ๕ บาทเมื่ออยู่กับเศรษฐี  
    "เราจะมีค่า ๑  บาทตลอดไป"
     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  เราไม่อาจเลือกที่เกิดที่อยู่และที่ไปได้ก็จริง  แต่เราก็อาจกำหนดคุณค่าของเราได้  คุณค่าที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสโลก อันเป็นคุณค่าดีที่สุดน้ัน คือคุณค่าของเงินดี (ไม่ใช่เงินปลอม)  คุณค่าชองคนดี  (ไม่ใช่คนชั่ว)  

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น