๗. แร้งกับเหี้ย
ครั้งหนึ่งมีสัตว์สองชนิดเป็นมิตรสหายกัน เพราะมีนิสัยจิตใจคล้ายคลึงกัน คือแร้งกับเหี้ย ทั้งแร้งกับเหี้ยเป็นสัตว์ถือศีล ไม่เบียดเบียนสัตว์อื่นที่เกิดมาร่วมโลกนี้ไม่ว่าสัตว์เล็กหรือสัตว์ใหญ่ ก็ล้วนแต่เกิดมาร่วมโลกเดียวกัน รักสุข เกลียดทุกข์ ไม่อยากให้สัตว์อื่นมาเบียดเบียนรังแกตน จึงไม่ควรเบียดเบียนรังแกสัตว์อื่น
แร้งและเหี้ยเป็นสัตว์เดรัจฉานที่จะเกิดในชาตินี้เท่าน้ัน เมื่อสิ้นอัตภาพนี้แล้ว เพราะเหตุที่ถือศีลโดยเคร่งครัดเช่นนี้ ก็จะได้เกิดเป็นมนุษย์ในชาติต่อไป สัตว์ทังสองชนิดนี้มีธรรมชาติแตกต่างกันคือ แร้งเป็นสัตว์ประเภทนก เหี้ยเป็นสัตว์สี่เท้า ทั้งสองจึงตกลงแบ่งเขตหากินกันที่พระพรหมผู้เป็นเจ้าโลกกำหนด แร้งให้หากินบนบกอันเป็นที่ดอนทั่วไป ส่วนเหี้ยให้หากินตามที่ลุ่มชายแม่น้ำลำคลองทั้วไป อาหารที่หากินน้ันคือ ซากสัตว์ที่ตายแล้ว ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของหวงห้าม หมายความว่าท้ังแร้งและเหี้ยจะต้องถือศีลตลอดชีวิตสองข้อ คือ ปาณาติปาตาเวรมณี งดเว้นไม่ทำลายชีวิตสัตว์อื่นเป็นอาหาร ข้อสองคือ อทินาทานาเวรมณี งดเว้นไม่กินสัตว์ที่เจ้าของหวงห้าม เช่น เขาใส่ภาชนะไว้ หรือผูกเชือกไว้เป็นต้น สัตว์ทั้งสองได้ถือปฎิบัติโดยเคร่งครัดตลอดมา
วันหนึ่งเป็นวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ สัตว์ทั้งสองได้หยุดหากินวันหนึ่งในรอบปี และได้พบกัน ณ ที่ต้นโพธิใหญ่หน้าโบสถ์แห่งหนึ่ง จึงได้สนทนากัน
คิชฌกะ : ยังไง ท่านโยธกา สุขสบายดีหรือ
โยธกา : สุขสบายดีเป็นปกติ ท่านเล่าอาหารฝืดเคืองหรือ บริบูรณ์ดีอยู่ประการใด
คิชฌกะ : ตราบใดที่โลกนี้ยังมีสัตว์ต้องเกิด ต้องตายอยู่ อาหาร ของเราก็บริบูรณ์ดีอยู่ตราบน้ัน
โยธกา : ทราบว่า แต่ก่อนนี้ซากศพของมนุษย์ก็ทิ้งไว้ให้เป็น อาหารแก่ท่านบ้าง แต่เดี๋ยวนี้มักจะฝังอย่างมิดชิด ไม่ กินก็เผาเสียหมดสิ้น มิทำให้ท่านขาดอาหารหรือ
คิชฌกะ : ก็เป็นแต่บางประเทศหรอก แต่บางประเทศที่เกิด สงครามหรือความอดอยาก และโรคระบาดก็ทอดทิ้งศพ ไว้ แต่บางประเทศกินไม่หวาดไม่ไหวเสียอีก
โยธกา : ท่านก็บินอยู่สูงเทียมเมฆ เหตุไฉนท่านจึงมองเห็น ซากศพได้เล่า
คิชฌกะ : พระพรหมสร้างเรามาให้มีสายตาดีเป็นพิเศษ มองเห็น ได้ชัดจากที่สูง ก็เหมือนท่านที่มีจมูกดีเป็นพิเศษ อาจ ได้กลิ่นซากศพได้ไกลๆ
โยธกา : เหตุใดมนุษย์จึงถือสังหรณ์ว่าถ้าท่านลงไปที่บริเวณบ้าน เรือนของเขา เขาจึงมีอันตรายเกิดวิบัติแก่ทรัพย์สินและ ชีวิต
คิชฌกะ : ตามธรรมดามนุษย์ เป็นสัตว์ที่รังเกียจซากศพที่เน่า เปื่อยโดยเฉพาะซากศพพวกเขาเอง เพราะเหตุที่เขา กลัวความตาย ด้วยเขาเกรงว่าเขาจะเป็นเหมือนซากศพ นั้น เขาจึงเอาไปฝังไปเผาเสียหมดสิ้น เราจึงไม่มี โอกาสได้เหยียบบริเวณบ้านเขาอยู่แล้ว เมื่อเราละไป เหยียบเข้า เขาก็ถือว่าเราจะไปกินซากศพของเขา เขา จึงพากันถือสาในเรื่องนี้ แต่ก็แปลกนะท่าน เราลงไป เหยียบบ้านเรือน สถานที่อยู่ ที่ทำงานของเขาคราวใด ก็มักจะเกิดเหตุร้ายเสมอ
โยธกา : เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่า
คิชฌกะ : เทพเจ้าสังหรณ์ใจเรา ให้เรามองลงไปในสถานที่น้ันว่า มีซากศพอยู่ เราจึงลงไปเกาะ แต่เมื่อเราลงไปกลับหา มีไม่ แต่ในไม่ช้านัก ณ สถานที่น้ันก็มีซากศพจริงๆ
โยธกา : เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่า
คิชฌกะ : อาจเกิดจากดวงจิตอันบริสุทธิ์ของเราซึ่งถือศีล ไม่เสพ สัตว์ตายที่มีเจ้าของ ๑ ทำให้เรามองเห็นภาพซากศพ ตามสุถานที่น้ันล่วงหน้า เพราะเรามองเห็นจริงๆ จึงได้ ลงไป แต่เหตุนั้นกลับเกิดขึ้นภายหลัง เรื่องของเราก็ คล้ายๆเรื่องของท่าน เรามีญาณเห็นล่วงหน้าได้ทางตา ฉันใด ท่านก็มีญาณรู้ล่วงหน้าได้ทางจมูกฉันนั้น เมื่อ ท่านได้กลิ่นซากศพมาจากอาคารบ้านเรือนใด ท่านขึ้น ไปยังบ้านเรือนน้ันมิได้พบซากศพ แต่ต่อจากนั้นไม่นาน ก็มีซากศพบนอาคารสถานที่ที่ท่านขึ้นไปนั้น ท่านอาจไม่ ทราบ แต่เราอยู่ในที่สูงจึงทราบ
โยธกา : เมื่อเราเข้าไปบ้านนั้นเสียชีวิตเสมอไปหรือ
คิชฌกะ : ไม่เสมอไปหรอก บางทีก็สูญเสียทรัพย์อย่างอื่น ซึ่งมีจริง ชีวิตของคนในบ้านเรือนนั้น ก็เป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งของบ้านน้ัน การเสียทรัพย์กับเสียชีวิตจึงคล้ายๆกัน
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ผู้มีศีลธรรมน้ัน ย่อมมีจิตบริสุทธิ์ ผู้ที่มีจิตบริสุทธิ์ย่อมมีญาณหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ แม้แต่สัตว์ตัวน้อยๆ เพราะฉนั้นมนุษย์ผู้มีศีลมีธรรม จึงมีญาณหยั่งรู้ล่วงหน้าได้จริง
๘.ผมหงอกกับผมดำ
๙.ชาวนาเกลือกับชาวนาข้าว
โยธกา : ท่านก็บินอยู่สูงเทียมเมฆ เหตุไฉนท่านจึงมองเห็น ซากศพได้เล่า
คิชฌกะ : พระพรหมสร้างเรามาให้มีสายตาดีเป็นพิเศษ มองเห็น ได้ชัดจากที่สูง ก็เหมือนท่านที่มีจมูกดีเป็นพิเศษ อาจ ได้กลิ่นซากศพได้ไกลๆ
โยธกา : เหตุใดมนุษย์จึงถือสังหรณ์ว่าถ้าท่านลงไปที่บริเวณบ้าน เรือนของเขา เขาจึงมีอันตรายเกิดวิบัติแก่ทรัพย์สินและ ชีวิต
คิชฌกะ : ตามธรรมดามนุษย์ เป็นสัตว์ที่รังเกียจซากศพที่เน่า เปื่อยโดยเฉพาะซากศพพวกเขาเอง เพราะเหตุที่เขา กลัวความตาย ด้วยเขาเกรงว่าเขาจะเป็นเหมือนซากศพ นั้น เขาจึงเอาไปฝังไปเผาเสียหมดสิ้น เราจึงไม่มี โอกาสได้เหยียบบริเวณบ้านเขาอยู่แล้ว เมื่อเราละไป เหยียบเข้า เขาก็ถือว่าเราจะไปกินซากศพของเขา เขา จึงพากันถือสาในเรื่องนี้ แต่ก็แปลกนะท่าน เราลงไป เหยียบบ้านเรือน สถานที่อยู่ ที่ทำงานของเขาคราวใด ก็มักจะเกิดเหตุร้ายเสมอ
โยธกา : เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่า
คิชฌกะ : เทพเจ้าสังหรณ์ใจเรา ให้เรามองลงไปในสถานที่น้ันว่า มีซากศพอยู่ เราจึงลงไปเกาะ แต่เมื่อเราลงไปกลับหา มีไม่ แต่ในไม่ช้านัก ณ สถานที่น้ันก็มีซากศพจริงๆ
โยธกา : เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่า
คิชฌกะ : อาจเกิดจากดวงจิตอันบริสุทธิ์ของเราซึ่งถือศีล ไม่เสพ สัตว์ตายที่มีเจ้าของ ๑ ทำให้เรามองเห็นภาพซากศพ ตามสุถานที่น้ันล่วงหน้า เพราะเรามองเห็นจริงๆ จึงได้ ลงไป แต่เหตุนั้นกลับเกิดขึ้นภายหลัง เรื่องของเราก็ คล้ายๆเรื่องของท่าน เรามีญาณเห็นล่วงหน้าได้ทางตา ฉันใด ท่านก็มีญาณรู้ล่วงหน้าได้ทางจมูกฉันนั้น เมื่อ ท่านได้กลิ่นซากศพมาจากอาคารบ้านเรือนใด ท่านขึ้น ไปยังบ้านเรือนน้ันมิได้พบซากศพ แต่ต่อจากนั้นไม่นาน ก็มีซากศพบนอาคารสถานที่ที่ท่านขึ้นไปนั้น ท่านอาจไม่ ทราบ แต่เราอยู่ในที่สูงจึงทราบ
โยธกา : เมื่อเราเข้าไปบ้านนั้นเสียชีวิตเสมอไปหรือ
คิชฌกะ : ไม่เสมอไปหรอก บางทีก็สูญเสียทรัพย์อย่างอื่น ซึ่งมีจริง ชีวิตของคนในบ้านเรือนนั้น ก็เป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งของบ้านน้ัน การเสียทรัพย์กับเสียชีวิตจึงคล้ายๆกัน
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ผู้มีศีลธรรมน้ัน ย่อมมีจิตบริสุทธิ์ ผู้ที่มีจิตบริสุทธิ์ย่อมมีญาณหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ แม้แต่สัตว์ตัวน้อยๆ เพราะฉนั้นมนุษย์ผู้มีศีลมีธรรม จึงมีญาณหยั่งรู้ล่วงหน้าได้จริง
๐๐๐๐๐๐๐๐
๘.ผมหงอกกับผมดำ
ครั้งหนึ่งผมดำกับผมหงอกพบกันในถุงขยะ จึงได้สนทนาธรรมกัน ดังต่อไปนี้
ผมดำ : ผมขาวอย่างท่าน แสดงว่าแก่แล้วใช่ไหม เสียดายตัว เองไหมทีต้องแก่เช่นนี้
ผมหงอก : เราไม่เสียดายหรอกที่ต้องแก่ เพราะไม่ว่าสิ่งใดใน โลกนี้ เมื่อมีเกิดก็ต้องมีแก่ทุกสิ่งไป แต่คำว่าแก่ของ ท่านน้ัน หมายความว่าแก่อะไรเล่า แก่อายุเพราะเกิด มานาน แก่ปัญญาเพราะศึกษามาก หรือ แก่ธรรมะ เพราะว่าได้เจริญปัญญามาก
ผมดำ : อ้อ แก่นี้ก็มีหลายอย่างด้วยนะ
ผมหงอก : มีมากซิท่าน แก่เหล้า แก่กัญชา แก่กิเลสตัณหา แก่กา มารณ์ก็มีนะ
ผมดำ : แก่อย่างท่าน เรียกว่าแก่อะไรเล่า
ผมหงอก : แก่อย่างเราเรียกว่า แก่ธรรมะ เพราะเราอายุก็ยังไม่ มาก เราจะอธิบายให้ฟัง คนบางคนอายุแก่แล้ว แต่ผม ก็ยังดำสนิทอยู่ คนบางคนอายุน้อย แต่ผมก็หงอกขาว เราก็เป็นเส้นผมหงอกขาวบนศรีษะของคนอายุน้อย เราถือว่าตัวเรามีคุณค่ามากกว่าผมดำบนหัวของคน อายุมาก
ผมดำ : เพราะเหตุใด?
ผมหงอก : เพราะเหตุว่า สีขาวหมายถึงความสะอาด ความบริสุทธิ์ ได้ซักฟอก ชำระล้างแล้ว หมดความโง่แล้ว ฉลาด แล้ว มีปัญญาแล้ว หมดกิเลสตัณหาแล้ว เป็นผู้ บริสุทธิ์แล้ว ท่านคงเคยสังเกตุมาบ้างว่า คนมีผมบน ศรีษะสีหงอกขาวติดคุกน้อยกว่าคนผมดำ คนมีผม หงอกขาว มีศีลมีธรรมมากกว่าคนมีผมสีดำ คนผม หงอกขาวมีสติปัญญามากกว่าคนผมดำ คนผมขาวมี เมตตามากกว่าคนผมดำ อันนี้ว่าโดยเฉลี่ย แม้คนหนุ่ม ที่มีผมหงอก ก็มีสติปัญญาสูงกว่าคนหนุ่มผมดำ ถ้า ท่านไม่เคยสังเกตุก็จงสังเกตุเสียตั้งแต่บัดนี้
ผมดำ : เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นน้ัน
ผมหงอก : พืชงอกงามดีบนดินดีฉันใด ผมหงอกก็งอกจากหัว ของคนดีที่มีมันสมองดี มีศีลธรรมดีฉันนั้น
ผมดำ : เหตุใดคนเด็ก และหนุ่มสาวจึงมีผมดำเล่า มิ หมายความว่าคนพวกนี้สมองไม่ดี ศีลธรรมไม่ดีดอก หรือ
ผมหงอก : ก็เป็นเช่นน้ัน เพราะเด็กและหนุ่มสาวจะมีดีมีศีลธรรมดี เพียงใด ก็ดีเท่าคนที่มีอายุสูงขึ้นมาแล้วไม่ได้ เหมือน ผลไม้รสจะหวานจัด มิได้หวานเมื่อตอนดิบ หรือห่าม ย่อมหวานเมื่อตอนสุกฉันใด คนเด็กและคนหนุ่มสาวที่ มีสมองดี มีศีลธรรมดี ก็ดียิ่งขึ้นเมื่อสู่วัยผู้ใหญ่มีผม หงอกแล้ว ปัญญาจะสุขุมยิ่งขึ้น ผมที่หงอกอยู่บน ศรีษะเขาจึงเป็นเครื่องหมายแห่งปัญญาและธรรมะ อีก ประการหนึ่งผมของเขาจะเริ่มหงอกเมื่อจิตใจเขาเริ่ม บริสุทธิ์สะอาดขึ้นแล้ว กิเลสของเขาได้รับการซักฟอก แล้ว เส้นผมของเขาก็จะเริ่มขาวขึ้นทุกที อีกประการ หนึ่ง เส้นผมที่ขาวเป็นเครื่องยับยั้งใจคนมิให้คิดชั่ว และทำชั่วด้วย
ผมดำ : ท่านก็พรรณาผมหงอกมามากแล้ว แต่เหตุใดเล่า คนในสมัยนี้จึงไม่ชอบผมหงอก ผมหงอกอยู่ก็กลับ ย้อมดำเสียหมด แสดงว่าโลกนิยมผมดำยิ่งกว่าผม หงอก ท่านจะแก้ว่าอย่างไร
ผมหงอก :ไม่ต้องแก้อะไร เพราะความจริงก็มีอยู่ว่าคนทุกวันนี้ จิตใจยังเต็มไปด้วยกิเลสตัณหามืดมนอยู่ เต็มไปด้วย ความลุ่มหลงมัวเมาในกามคุณ โลภในทรัพย์ ยศ และ อิสตรี หรือเพศตรงข้าม จึงต้องหลอกลวตาผู้อื่นว่าตัว เองอายุยังไม่มาก
ผมดำ : ท่านพูดอย่างนี้ไม่ถูกนะ ยังมีคนหัวหงอกอยู่ในบ้านใน เมืองเราอีกมากเหมือนกัน
ผมหงอก :ถ้าเห็นคนหัวหงอกขาว จงยกมือไหว้เถิด เป็นมงคลเพราะท่านผู้น้ัน ย่อมมีปัญญา มีธรรมะในใจ เป็นที่ไว้ใจได้ อย่างน้อยท่านก็ไม่หลอกเด็ก
๐๐๐๐๐๐๐๐๐
๙.ชาวนาเกลือกับชาวนาข้าว
ครั้งหนึ่งเป็นเวลาหน้าฝน พระพิรุณเทพบุตรจึงไขท่อธาราให้ฝนตกลงมายังภาคพื้นธรณี คร้ังนั้นรามสูรชอบเล่นน้ำฝนกับนางเมขลา พระพิรุณจึงสั่งว่า ท่านเล่นน้ำฝนท่องเที่ยวไปทุกแห่ง จงได้สดับตรับฟังเสียงมนุษย์ดูด้วยว่า จะมีความพอใจประการใด รามสูรจึงเล่นฝนพลางฟังไปพลางจนทั่วทุกแห่ง แล้วกลับไปทูลพระพิรุณเทพบุตรว่า ฟังดูเสียงมนุษย์ทั่วไปดูก็พอใจอยู่เพราะเขาต้องการน้ำฝน จะมีอยู่ก็ตำหนิว่าตกมากไปบ้าง ตกน้อยไปบ้าง คนเดินทางไม่ค่อยพอใจ เพราะเขาเดินทางไม่ได้ แต่จำพวกคนขี้เกียจแล้วเขาชอบใจมาก เพราะเขาได้นอนกันสบาย รวมทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวที่แรกแต่งงานกันด้วย เขาพอใจจะให้ฝนตกท้ังกลางคืนกลางวัน เพราะเขาจะได้นอนด้วยกันอย่างมีความสุข
แต่ยังมีชาวนาอยู่ ๒ จำพวก มีความเห็นอย่างตรงข้ามทีเดียว คือพวกหนึ่งดีใจมากที่ฝนตก ถ้าฝนทิ้งไปนานๆ เขาก็บ่นไปต่างๆ ถ้าฝนแล้งเขาก็ถึงแก่บนบานศาลกล่าวแห่นางแมว เอาพระมาสวดมนต์กลางทุ่งขอให้ฝนตกบ้าง แต่ชาวนาอีกพวกหนึ่ง เสียใจมากเมื่อฝนตก ถ้าฝนตกบ่อยๆเขาจะบ่นว่าต่างๆ ถ้าฝนพรำ นานไปเขาจะบนบานให้ฝนแล้ง ชาวนาพวกนี้มีความต้องการตรงกันข้าม คือ ชาวนาข้าวต้องการให้ฝนตก แต่ชาวนาเกลือต้องการให้ฝนแล้ง ทั้งๆที่ชาวนาเกลือก็รองน้ำฝนใส่ตุ่มไว้กินเมื่อฝนตก
พระพิรุณได้ฟังก็หัวเราะ แล้วตอบว่า ขอบใจท่านที่บอกให้เราทราบ แต่เราก็มีหน้าที่อำนวยความสุขส่วนใหญ่ให้แก่โลกมนุษย์รวมทั้งสัตว์และพืชด้วย เราจึงต้องทำหน้าที่ต่อไป เพราะถ้าเราไม่ทำหน้าที่ไม่ทำฝนให้ตกแล้ว ทั้งมนุษย์สัตว์และพืช ก็จะพากันล้มตายหมดสิ้น ส่วนมนุษย์บางจำพวกที่ไม่ต้องการฝนนั้น เราปฎิบัตตามไม่ได้หรอก เราทราบดีว่า มนุษย์พวกนี้ขี้เหม็น ย่อมเคื่ยวเข็ญเทวดา ฝนตกก็แช่ง ฝนแล้งก็ด่า เป็นธรรมดาของเขาเช่นนั้นเอง และมนุษย์จำพวกนี้ ย่อมหาความสุขความเจริญไม่ได้ เขาย่อมเป็นมนุษย์ที่ยากจนและอดอยาก กว่าคนอื่น
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า แม้เทวดาที่มีเมตตา ก็เอาใจมนุษย์ไม่ได้หมดทุกคน ทุกหมู่ ทุกคณะ นับประสาอะไรเล่า ผู้ปกครองคนจะทำความพอใจให้แก่คนในปกครองได้ทุกคน ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่เอง
๐๐๐๐๐๐๐๐