๗๗. เห็ดคน
อดีตกาลนานมา ไม่รู้ว่ากี่ร้อยพันปี ยังมีมานพน้อยนายหนึ่ง เป็นบุตรมหาเศรษฐี บิดามารดามีทรัพย์มหาศาลนับได้หลายล้านโกฎิอสงไขย นอกจากจะมีทรัพย์มหาศาลแล้ว มานพน้อยนี้ยังมีลักษณะเลิศชายหาใครจะเปรียบปานมิได้ ยิ่งไปกว่าน้ันยังมีน้ำใจกว้างขวางเหมือนดังทะเลมหาสมุทร
เป็นบุตรมหาเศรษฐีมหาศาล ใครจะต้องการสิ่งใดก็ยินดียกให้ไม่เสียดายเลย ด้วยมิได้เคยพบกับความไม่มี เมื่อเห็นผู้อื่นไม่มีสิ่งใดก็ให้เดือดร้อนรำคาญแทน ปรารถนาจะเห็นผู้อื่้นไม่ขาดแคลนดังเช่นตนบ้าง เพราะเหตุแห่งความมีน้ำใจกว้างขวางจึงมีเพื่อนฝูงและบริวารมากมาย และสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นธรรมดาจะขาดเสียมิได้ คือมีหญิงสาวทั้งหลายหลงรักอยากได้เป็นคู่ครอง แต่บุตรชายมหาเศรษฐีนี้ก็มิได้มีใจปฎิพัทธ์เสน่หานารีใดในทางเพศสัมพันธ์เลย มีแต่รักใคร่เป็นน้องเป็นพี่ ทั้งสาวแก่แม่หม้ายบรรดามีจึงเพียรพยายามใช้มารยาสตรีที่มีอยู่ถึง ๑๒ เล่มเกวียนมาใช้ ก็หาสมประสงค์ไม่ สรุปความว่าบุตรชายมหาเศรษฐีไม่ตกหลุมรักหญิงใดในประเทศน้ันเลย
เมื่อได้ใช้ชีวิตความสุขเกษม มาจนเลยวัยหนุ่มใหญ่วัย ๓๕ปีแล้วก็ให้รู้สึกเบื่อโลก ด้วยมิได้เห็นจะมีสิ่งใดมีแก่นสารและน่ารื่นรมย์ชมชื่นต่อไปแล้ว จึงลาบิดามารดาเข้าป่าหิมพานต์บวชตนเป็นพระฤาษีบำเพ็ญตะบะอยู่ในป่าน้ัน แต่ก็ยังมีมารตามไปผจญอยู่เรือยๆ บ้างก็ไปขอเงินใช้โดยให้บุตรมหาเศรษฐีขีดเขียนเครื่องหมายให้แก่ตน เพื่อเอาไปแสดงแก่บิดามารดาของบุตรชายเศรษฐีน้้นว่าตนเป็นเพื่อนสนิท เป็นมิตรสหายได้รับอนุญาตให้มาเบิกเงินส่วนที่เป็นของลูกชายมหาเศรษฐีน้ันได้ ด้วยบิดามารดามหาเศรษฐีฤาษีน้ันได้กันแบ่งไว้เป็นของพระฤาษีส่วนหนึ่งแล้ว แม้ว่าฤาษีลูกชายจะเบื่อหน่ายเพศพรหมจรรย์ลาเพศฤาษีออกกมาเมื่อใดก็จะได้ใช้ทรัพย์ของตนได้ บรรดามิตรสหายของพระฤาษีก็ตามไปรบกวนขอเครื่องหมายแกงไดเอามาเบิกเงินใช้เสมอมิได้ขาด ท้ังที่พระฤาษีก็สละทรัพย์นั้นทั้งหมดแล้ว มิได้อาลัยอาวรณ์หรือถือว่าเป็นของตนแต่อย่างใด แต่บิดามารดาผู้รักษาสมบัติน้ันไว้ก็จะมิยอมจ่ายให้แก่ผู้ใด นอกจากผู้มีเครื่องหมายของบุตรชายมาแสดงว่าได้รับอนุญาตจากบุตรชายฤาษีน้ัน ประชาชนทั่วไปจึงติดตามไปหาพระฤาษีองค์น้ันเพื่อขอเครืองหมายแกงไดมาแสดงเพื่อไปเบิกเงินอยู่ตลอดปีตลอดชาติมิได้ขาดเลย
เหลาสตรีก็ยังมีมานะพยายามไปพบพระฤาษีเหมือนกัน อย่างหนึ่งก็คือไปขอเครื่องหมายเบิกเงินใช้อีก อย่างหนึ่งก็ฺคือคิดจะไปสึกฤาษีมาเป็นสามีของตน แต่ประการหลังนี้ไม่ปรากฎมีผู้ใดทำสำเร็จ อย่างไรก็ดีแม้ทรัพย์ของมหาเศรษฐีจะมีมากมายล้นเหลือเท่าใดก็ดี แต่คนที่อดอยากก็มีล้นเหลือเช่นเดียวกัน นอกจากน้ันก็ยังมีคนที่โลภมากล้นเหลือเช่นเดียวกัน เมื่อคนเหล่านี้พากันไปขอเครื่องหมายแกงไดมาเบิกเงินใช้อยู่ทุกวันตลอดมา อยู่มามิช้าทรัพย์น้ันก็หมด ถึงไม่หมดไปจากโลก แต่ก็หมดไปอยู่กับคนอดและคนโลภอันมีมากมายมหาศาลยิ่งกว่าทรัพย์มหาศาลของมหาเศรษฐีเสียอีกเล่าฉนั้น เมื่อคนสุดท้ายไปขอเครื่องหมายแกงไดพระฤาษี ท่านก็รู้ด้วยญาณทันทีว่าไม่มีทรัพย์เหลืออยู่แม้แต่เบี้ยเดียว พระฤาษีจึงไปบอกแก่ผู้ไปขอคนสุดท้ายน้ันว่า "ทรัพย์นอกกายของข้าหมดแล้ว ไม่มีเหลืออยู่แม้แต่ชิ้นเดียว บัดนี้ยังเหลือทรัพย์ในกาย ชิ้นสุดท้ายอยู่ชิ้นหนึ่ง ข้ามิได้ทำประโยชน์อันใด แต่เจ้าจะเอาไหม ?"
ผู้โชคดีคนสุดท้ายก็ตกปากว่า "เอา" ตามประสาคนโลภและขี้ขอท้ังหลาย
พระฤาษีก็เปิดหนังเสือโคร่งที่นุ่งห่มครองกายน้ันขึ้นเด็ดทรัพย์ในกายชิ้นสุดท้ายน้ันโยนไปให้ หญิงผู้น้ันก็ตกตลึง ด้วยไม่เคยคิดว่าพระฤาษีจะปลิดสิ่งน้้นให้แก่ตนได้ จึงก้มลงกราบพระฤาษีว่า
"ของชิ้นนี้ ข้าพเจ้าต้มกินมื้อเดียวก็หมดสิ้น ต่อไปข้าพเจ้าอยากกินอีก จะไปหากินได้ที่ไหนเล่า"
พระฤาษีจึงตอบว่า "เอ็งกินแล้วไปถ่ายไว้ที่ใดก็จะมีเชื้อเห็ดเกิดขึ้นมา มีรูปลักษณะเหมือนของเดิม เอ็งไปเก็บเอามาต้มกินได้"
นางยังไม่พอใจจึงว่า "เผื่อลูกข้าพเจ้าหลานข้าพเจ้าอยากจะกินบ้างเล่าจะทำฉันใด"
พระฤาษีตอบว่า "พืชพันธุ์ชนิดนี้จะมีอยู่ประจำโลกต่อไปไม่รู้สิ้น จะเป็นของกินอันโอชะอย่างหนึ่งของมนุษย์"
นางจึงถามต่อไปอีกว่า "ถ้าจะมีคนถามจะเรียกพืชพันธุ์ชนิดนี้ว่าอะไรเล่า"
พระฤาษีตอบว่า "มันเกิดจากคน รูปร่างก็เหมือนคนควรจะเรียกว่า "เห็ดคน" แต่ต่อไปมนุษย์ใจบาปจะลืมคุณข้า เขาจะพากันเสแสร้งเรียกเสียใหม่ว่า "เห็ดโคน" "
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ทำคุณแก่ใครอย่าหวังเลยว่าเขาจะตอบแทนคุณเรา เพราะมนุษย์ร้อยละ ๙๐ เป็นคนอกตัญญู อีก ๙ คนก็เป็นคนเนรคุณคน อีก ๑ เป็นคนลืมคุณคน
เหลาสตรีก็ยังมีมานะพยายามไปพบพระฤาษีเหมือนกัน อย่างหนึ่งก็คือไปขอเครื่องหมายเบิกเงินใช้อีก อย่างหนึ่งก็ฺคือคิดจะไปสึกฤาษีมาเป็นสามีของตน แต่ประการหลังนี้ไม่ปรากฎมีผู้ใดทำสำเร็จ อย่างไรก็ดีแม้ทรัพย์ของมหาเศรษฐีจะมีมากมายล้นเหลือเท่าใดก็ดี แต่คนที่อดอยากก็มีล้นเหลือเช่นเดียวกัน นอกจากน้ันก็ยังมีคนที่โลภมากล้นเหลือเช่นเดียวกัน เมื่อคนเหล่านี้พากันไปขอเครื่องหมายแกงไดมาเบิกเงินใช้อยู่ทุกวันตลอดมา อยู่มามิช้าทรัพย์น้ันก็หมด ถึงไม่หมดไปจากโลก แต่ก็หมดไปอยู่กับคนอดและคนโลภอันมีมากมายมหาศาลยิ่งกว่าทรัพย์มหาศาลของมหาเศรษฐีเสียอีกเล่าฉนั้น เมื่อคนสุดท้ายไปขอเครื่องหมายแกงไดพระฤาษี ท่านก็รู้ด้วยญาณทันทีว่าไม่มีทรัพย์เหลืออยู่แม้แต่เบี้ยเดียว พระฤาษีจึงไปบอกแก่ผู้ไปขอคนสุดท้ายน้ันว่า "ทรัพย์นอกกายของข้าหมดแล้ว ไม่มีเหลืออยู่แม้แต่ชิ้นเดียว บัดนี้ยังเหลือทรัพย์ในกาย ชิ้นสุดท้ายอยู่ชิ้นหนึ่ง ข้ามิได้ทำประโยชน์อันใด แต่เจ้าจะเอาไหม ?"
ผู้โชคดีคนสุดท้ายก็ตกปากว่า "เอา" ตามประสาคนโลภและขี้ขอท้ังหลาย
พระฤาษีก็เปิดหนังเสือโคร่งที่นุ่งห่มครองกายน้ันขึ้นเด็ดทรัพย์ในกายชิ้นสุดท้ายน้ันโยนไปให้ หญิงผู้น้ันก็ตกตลึง ด้วยไม่เคยคิดว่าพระฤาษีจะปลิดสิ่งน้้นให้แก่ตนได้ จึงก้มลงกราบพระฤาษีว่า
"ของชิ้นนี้ ข้าพเจ้าต้มกินมื้อเดียวก็หมดสิ้น ต่อไปข้าพเจ้าอยากกินอีก จะไปหากินได้ที่ไหนเล่า"
พระฤาษีจึงตอบว่า "เอ็งกินแล้วไปถ่ายไว้ที่ใดก็จะมีเชื้อเห็ดเกิดขึ้นมา มีรูปลักษณะเหมือนของเดิม เอ็งไปเก็บเอามาต้มกินได้"
นางยังไม่พอใจจึงว่า "เผื่อลูกข้าพเจ้าหลานข้าพเจ้าอยากจะกินบ้างเล่าจะทำฉันใด"
พระฤาษีตอบว่า "พืชพันธุ์ชนิดนี้จะมีอยู่ประจำโลกต่อไปไม่รู้สิ้น จะเป็นของกินอันโอชะอย่างหนึ่งของมนุษย์"
นางจึงถามต่อไปอีกว่า "ถ้าจะมีคนถามจะเรียกพืชพันธุ์ชนิดนี้ว่าอะไรเล่า"
พระฤาษีตอบว่า "มันเกิดจากคน รูปร่างก็เหมือนคนควรจะเรียกว่า "เห็ดคน" แต่ต่อไปมนุษย์ใจบาปจะลืมคุณข้า เขาจะพากันเสแสร้งเรียกเสียใหม่ว่า "เห็ดโคน" "
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ทำคุณแก่ใครอย่าหวังเลยว่าเขาจะตอบแทนคุณเรา เพราะมนุษย์ร้อยละ ๙๐ เป็นคนอกตัญญู อีก ๙ คนก็เป็นคนเนรคุณคน อีก ๑ เป็นคนลืมคุณคน